BGRIM-GPSC-GULF ดิ่งนำกลุ่มโรงไฟฟ้า ผิดหวังแผน PDP 5-6 ปีแรกกำลังผลิตต่ำกว่าคาด

HoonSmart.com>>หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าร่วงยกแผง นำดิ่งโดย BGRIM-GPSC-GULF ผิดหวังแผน PDP ปี 67-80 ที่กำลังผลิตในช่วง 5-6 ปีแรกมีแค่ 11% ของกำลังผลิตทั้งหมดของแผนที่มีกว่า 35,000 เมกกะวัตต์ จากเดิมคาดหวังไว้สูงกว่านี้ พร้อมหวั่นอาจไม่มีโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นช่วงสั้นหากเศรษฐกิจไทยโตชะลอ ส่งผลให้กำลังผลิตไฟฟ้ามีส่วนเหลือ นอกจากนี้ ราคา LNG ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่ม

เมื่อเวลา 11.46 น.หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าร่วงยกแผง นำดิ่งโดยหุ้น BGRIM ร่วง 6.17% มาที่ 21.30 บาท ลดลง 1.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 498.87 ล้านบาท
หุ้น GPSC ร่วง 4.12% มาที่ 40.75 บาท ลดลง 1.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 421.52 ล้านบาท
หุ้น GULF ร่วง 3.11% มาที่ 39.00 บาท ลดลง 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 804.35 ล้านบาท

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าเช้านี้ปรับตัวลงค่อนข้างมาก คาดว่าจะเป็นผลจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (Power Development Plan : PDP) ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 35,000 เมกะวัตต์ (MW) แต่ในช่วง 5-6 ปีแรกกำลังการผลิตจะมีเข้ามากว่า 3,000 เมกกะวัตต์ เท่านั้น คิดเป็น 11% ของแผน PDP ส่วนที่มากจะไปอยู่ในช่วงปีท้าย ๆ ทำให้เป็น Negative Surprise เพราะคาดหวังไว้จะสูงกว่านี้ นอกจากนี้ ราคา LNG ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่ม

ทั้งนี้ กำลังผลิตไฟฟ้ายังขึ้นอยู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยด้วย ซึ่งหากยังเติบโตไม่มาก กำลังการผลิตก็มีส่วนเหลือ ทำให้อาจไม่มีโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในช่วงสั้น อย่างไรก็ดี ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานยังคงแนะนำหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ทั้ง BGRIM, GULF, GPSC

บล.กรุงศรี ระบุราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก มองว่าสาเหตุหลักเกิดจาก ราคา LNG JKM ปิดวานนี้อยู่ที่ 13.3 เหรียญสหรัฐ/mmbtu ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบปีนี้ เนื่องจาก Chevron มีการปิดซ่อมท่าเรือส่งออก Wheatstone LNG (8.9 MMTA) และคาดว่าจะกลับมาดำเนินการในวันที่ 27 มิ.ย. 67 ซึ่งทำให้ราคา LNG ยืนในระดับสูง จึงเป็นแรงกดดันให้ต้นทุน Single pool gas price (import LNG คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-45% ของก๊าซทั้งหมด) ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 น่าจะกลับมาเพิ่มขึ้น และทำให้ IU margin ของกลุ่ม SPP มีแนวโน้มลดลง

ส่วน BGRIM มีปัจจัยเฉพาะตัวจากความกังวล IU demand ใน Auto Sector ซึ่งคิดเป็น 40% ของ total demand เนื่องจากตัวเลขการผลิตรถยนต์ลดลง 11% yoy อยู่ที่ 105,000 คัน ซึ่งต่ำที่สุดในรอบสามปี โดยยอดผลิตรถยนต์ปี2024 คาดว่าจะต่ำสุดในรอบ 14ปี ซึ่งทำให้ ภาพรวม IU demand growth ของ BGRIM อาจจะมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลง จากปัจจัยดังกล่าว

ทั้งนี้ ยังคงชอบ CKP (แนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 4.5 บาท) เป็น top pick ของกลุ่มเนื่องจาก ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 มีแนวโน้มพลิกกลับมาเป็นกำไรจากการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของ NN2 และ XPCL และ อานิสงส์จาก La Nina ที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วง ไตรมาส3 เป็นต้นไป ซึ่งทำให้กำไรเปลี่ยนเป็นวัฎจักรขาขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี 2567-2568 นอกจากนี้ความเสี่ยงจากต้นทุน Single pool gas ที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างจำกัด