KTC เจ๋ง Q1/66 กำไร 1,872 ล้านบ. รูดปื๊ดพุ่ง 24% สินเชื่อโต 14.5%

HoonSmart.com>>”บัตรกรุงไทย(KTC)”ฟอร์มสวย ไตรมาส 1/66 ฟาดกำไร 1,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% รายได้รวม 6,055 ล้านบาท โต 13% พอร์ตสินเชื่อรวม 103,312 ล้านบาท  NPLs 1.9%เพิ่มเล็กน้อยจากปลายปี แต่ยังอยู่ในอัตราต่ำ มีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 1,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.8% ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 15.8% เป็น 390 ล้านบาท ช่วยเหลือลูกหนี้ 1,995 ล้านบาท เดินหน้ากลยุทธ์ จับมือพันธมิตรรักษาฐานสมาชิกเดิมและขยายฐานสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพเข้าพอร์ต 

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้  รวมถึงมาตรการภาษี “ช้อปดีมีคืน” นำไปสู่การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมของตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 เติบโตดีต่อเนื่อง โดยเคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคล 14.6% และ 3.7% ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของเคทีซีขยายตัว 24.3% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโต 18.6% ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดของปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตร  12.2%

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปี 2566 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ มีกำไรสุทธิ 1,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125 ล้านบาทหรือ 7.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้จำนวน 1,747ล้านบาท ผลจากพอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัว สร้างรายได้เติบโตดี และมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น สามารถรักษาคุณภาพพอร์ตได้อย่างเหมาะสมกับความเสี่ยงที่มีในแต่ละธุรกิจ โดยมีฐานสมาชิกรวม 3,333,227 บัญชี เงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับรวม 103,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPLs) 1.9%  เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 4/2565 ที่ 1.8%

ทั้งนี้บริษัทมีสมาชิกบัตรเครดิต 2,591,404 บัตร เงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับรวม 67,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% NPLs บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.1% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมูลค่า 63,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.5%    ส่วนสินเชื่อบุคคลเคทีซีมีจำนวน  741,823 บัญชี ลดลง 1.6% เงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับรวม 32,371 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1% NPLs สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.8% และลูกหนี้ตามสัญญาเช่ามูลค่า 3,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% NPLs อยู่ที่ 8.8% โดยที่ยอดลูกหนี้ใหม่ ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 334 ล้านบาท ขยายตัว 42% และสินเชื่อรถขนาดใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรม  944 ล้านบาท

บริษัทมีรายได้รวม 6,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.0% จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) และรายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) ที่เพิ่มขึ้น 14.7% และ 21.8% ตามลำดับ และมีหนี้สูญได้รับคืน 822 ล้านบาท ลดลง 4.1% ขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 3,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 1,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.8% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการตัดหนี้สูญ และต้นทุนทางการเงิน 390 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15.8%) จากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาดการเงิน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารเท่ากับ 1,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% จากค่าใช้จ่ายด้านบุคคลและค่าธรรมเนียมจ่ายที่เพิ่มขึ้น 14.6% และ 30.9% ตามลำดับ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางการตลาดลดลง 5.6% โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวมต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ที่ 32.8%

เคทีซีมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 59,252 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 เพิ่มขึ้น 17.6% จากไตรมาส 1/2565 ที่ 50,367 ล้านบาท ต้นทุนการเงิน 2.6% เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 28% ต่อ 72% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 2.0 เท่า ไม่เกินกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ 23,670 ล้านบาท

“กลุ่มเคทีซีได้ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทางการบริหารจัดการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม โดยให้ความสำคัญและส่งเสริมการช่วยเหลือ ติดตามแก้ไขปัญหาหนี้สิน ลูกหนี้รายย่อยอย่างตรงจุดและทันท่วงที รวมถึงการพัฒนากระบวนการให้สินเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการอย่างยั่งยืน ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการจ่ายชำระคืน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สินเพื่อบรรเทาภาระหนี้ให้แก่ประชาชน โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 เคทีซีได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกสถานะเป็นจำนวน 1,995 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.0% ของพอร์ตลูกหนี้รวม

ขณะเดียวกันเคทีซีจะยังคงเน้นการรักษาพอร์ตคุณภาพลูกหนี้ โดยใช้เกณฑ์อนุมัติสินเชื่อที่สอดคล้องกับความเสี่ยง และบริหารจัดการติดตามหนี้อย่างเป็นธรรมต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับขยายฐานลูกค้าใหม่ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และปิดบัญชีลูกค้าที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใช้งานตามเงื่อนไขที่กำหนด ตลอดจนบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่สมดุล รวมทั้งตั้งสำรองและตัดหนี้สูญเพิ่มหรือลด ตามลักษณะของพอร์ตที่ควรจะเป็น โดยคาดว่าสิ้นปีพอร์ตสินเชื่อจะมีอัตราเติบโตตามเป้าหมาย พร้อมประมาณการกำไรของปี 2566 ที่สูงกว่าเดิม ส่วนปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรยังมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ