BCP-TOP-PTTEP ขึ้นนำกลุ่มพลังงาน ขานรับแนวโน้มราคาน้ำมันสูงขึ้น

HoonSmart.com>>หุ้น BCP-TOP-PTTEP ขึ้นนำกลุ่มพลังงาน ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก หลังราคาน้ำมันพุ่งตอบรับกลุ่มโอเปกพลัสเตรียมลดกำลังการผลิตน้ำมันกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน ส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมัน 7 โบรกชี้เป้าหมายราคาหุ้น ปตท.สผ. 160-200 บาท คาดกำไรไตรมาสแรกโตก้าวกระโดด 

เมื่อเวลา 10.52 น.หุ้น BCP-TOP-PTTEP-SPRC-IRPC ขึ้นนำกลุ่มพลังงาน ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก นำโดยหุ้น BCP บวก 4.03% มาที่ 32.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 212.67 ล้านบาท
หุ้น TOP บวก 3.81% มาที่ 54.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 272.38 ล้านบาท
หุ้น PTTEP บวก 3.65% มาที่ 156.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,195.02 ล้านบาท
หุ้น SPRC บวก 2.78% มาที่ 11.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 106.11 ล้านบาท
หุ้น IRPC บวก 2.29% มาที่ 2.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท มูลค่าซื้อขาย 125.91 ล้านบาท

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยเชื่อว่าข่าวโอเปกพลัสเตรียมลดกำาลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมจะส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันมากกว่าข่าวการกลับมาส่งออกน้ำมันของอิรัก ทั้งนี้ เชื่อว่าจากข่าวข้างต้นนี้ จะส่งผลให้มีอุปทานน้ำมันดิบโลกลดลงเพิ่มเติม 1.6mbd ในครึ่งหลังปี 66 จากที่ตลาดคาดก่อนหน้านี้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า Brent สูงขึ้น 0.6% เป็น 79.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบจากข่าวนี้ โดยคงมุมมองว่า ราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัว HoH ในครึ่งหลังปี 66 จากอุปทานที่ตึงตัวมากขึ้น และจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากจีน ทั้งนี้ในเบื้องต้นยังคงประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 66 ที่ 93.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

โดยยังคงน้าหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นที่น่าได้ ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยชอบหุ้น PTTEP แนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 200 บาท, SPRC แนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท และ TOP แนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 65 บาท โดยเชื่อว่าราคาหุ้น PTTEP มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่น่าจะฟื้นตัว ขณะที่โรงกลั่นมีโอกาสที่จะเห็นกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stockgain)

อนึ่ง กลุ่มประเทศสมาชิกโอเปกพลัส (รวมประเทศ สมาชิกโอเปก และพันธมิตร เช่น รัสเซีย) ตกลงที่จะปรับลดกาลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมรวม 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (เทียบเท่าประมาณ 1% ของ อุปทานน้ามันโลก) ตั้งแต่เดือน พ.ค.66 จนถึงสิ้นปี 2566 นำโดย ซาอุดิอาระเบีย(0.5mbd) อิรัก (0.2mbd) UAE (0.1mbd) และคูเวต (0.1mbd) โดยซาอุดิอาระเบียอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อรักษาความมั่นคงของตลาดน้ำมัน นอกจากนี้ รัสเซียได้ประกาศว่าจะขยายระยะเวลาการปรับลดกาลังการผลิต น้ำมันของตนเองออกไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประกาศลดกำลังการผลิตน้ามัน 0.5mbd ในช่วงเดือน มี.ค.-มิ.ย.2566 ทั้งนี้ การตัดสินใจปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมนี้ เป็นส่วนเพิ่มจาก 2.0mbd ที่ OPEC+ ประกาศไปเมื่อเดือน ต.ค.2565

นอกจากนี้ การตัดสินใจลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสนี้ เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อติดตามการดำเนินการของโอเปก (JMMT) ในวันนี้ (3 เม.ย.) อิรักและเคอร์ดิสถานตกลงที่จะกลับมาส่งออกน้ำมันผ่านตุรกี สื่อต่างประเทศของเคอร์ดิสถานรายงานว่า รัฐบาลภูมิภาคเคอร์ดิสถาน (KRG) สามารถที่จะหาข้อตกลงเบื้องต้นกับรัฐบาลอิรักในการจะกลับมาส่งออกน้ำมันผ่านท่อส่งน้ำมันของตุรกี หลังจากก่อนหน้านี้ ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (International Court of Arbitration) มีคำสั่งให้การส่งออกน้ำมันจากเขตปกครองตนเองเคอร์ติสถาน ผ่านท่อส่งน้ำมันของตุรกีต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอิรักก่อน ทำให้ตุรกีได้หยุดการสูบน้ำมันจากเคอร์ติสถาน ซึ่งมีการส่งออกน้ำมันประมาณ 450 พันบาร์เรลต่อวัน (kbd) (ประมาณ 0.5% ของอุปทานน้ำมันโลก)

ด้านบล.หยวนต้า(ประเทศไทย) แนะนำเพียงเทรดดิ้ง PTTEP คงราคาเหมาะสม 160 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาสแรก/2566 ทำได้ 1.9 หมื่นล้านบาท (+25% QoQ, +85%YoY) จากค่าใช้จ่ายพิเศษ และขาดทุน Hedging ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้กำไรปกติอยู่ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท ฟื้นตัว +7% YoY แต่-23% QoQ จากการปรับตัวลงของทั้งปริมาณขาย และราคาขาย  หากกำไรไตรมาสแรกเป็นไปตามคาด จะคิดเป็น 27% ของคาดการณ์ทั้งปี คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงระดับ All-time high ในปีก่อน

ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบดูไบไตรมาสแรกอยู่ที่  80 ดอลลาร์/บาร์เรล  ลดลงจากปี 2565ที่ 96 ดอลลาร์/บาร์เรล อ่อนแอกว่าที่เรา – ตลาดคาดไว้ทั้งปีที่ 80-90 ดอลลาร์ /บาร์เรล (PTTEP คาดไว้ 88ดอลลาร์/บาร์เรล)

“แนะนำเพียงเทรดดิ้งระยะสั้นกรณีราคาน้ำมันฟื้นตัวเท่านั้น มองว่าหุ้นยังไม่เหมาะกับการลงทุนระยะกลาง – ยาว เนื่องจากประมาณการปีนี้ เริ่มมีDownside และโมเมนตัมช่วงที่เหลือของปีไม่เด่น โดยงบไตรมาสแรกอาจเป็นจุดสูงสุดของปี”บล.หยวนต้าระบุ