KSAM ตั้งเป้า AUM ปีนี้แตะ 6 แสนล้าน มองหุ้นไทย 1,750 จุด

HoonSmart.com>> “บลจ.กรุงศรี” กางแผนธุรกิจปี 66 ตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้บริหารแตะ 6 แสนล้านบาท โต 6 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกความต้องการ เน้นขยายฐานลูกค้าใหม่ควบคู่กับการพัฒนาระบบออนไลน์ ด้านหุ้นไทย มองเป้าดัชนีปีนี้ 1,750 จุด ส่วนหุ้นต่างประเทศชูหุ้นจีน A-Share เด่น แนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่ง

สุภาพร ลีนะบรรจง

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี (KSAM) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 6 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท และยังคงรักษาอันดับและส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล ข้อมูล AIMC ณ 30 ธ.ค.65) ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดกองทุนรวมอันดับ 5

พร้อมสานต่อแผนธุรกิจซึ่งขับเคลื่อนภายใต้ One Retail ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือระหว่างบริษัทในกลุ่มกรุงศรี มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ลงทุน ให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในวงกว้าง พร้อมเพิ่มตัวแทนจำหน่ายและการหาช่องทางการขายใหม่ๆที่มีศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและมอบประสบการณ์การลงทุนที่ดีให้กับลูกค้า”

“ในปี 2566 บริษัทได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี The One (KF1MILD, KF1MEAN, KF1MAX) ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นกองทุนที่โดดเด่นด้วยการผสานจุดแข็งของกลุ่มกรุงศรีและพันธมิตรด้านการลงทุน เพื่อเป็นทางเลือกที่ตอบทุกเป้าหมายผลตอบแทนจากการคัดสรรกองทุนเด่นเข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุนของกรุงศรี The One เหมาะสำหรับการถือเป็นพอร์ตการลงทุนหลัก และจะมีการเสนอขายกองทุนใหม่ๆที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับสภาวะตลาดเพิ่มเติม”

ในส่วนของการให้บริการ บริษัทมีแผนการพัฒนาระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมให้กับผู้ลงทุน เช่น การจองงานสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ การเปิดบัญชีออนไลน์สำหรับลูกค้า IP การขายกองทุน RMF ผ่านช่องทางออนไลน์ การผูกบัตรเครดิตและซื้อกองทุนแบบ real time รวมทั้งเพิ่มช่องทางในการชำระเงินร่วมกับพันธมิตร เป็นต้น

นางสุภาพร กล่าวว่า ด้านผลการดำเนินงานกองทุนปี 2565 พบว่ากองทุนของ บลจ.กรุงศรี มีผลงานที่โดดเด่นครอบคลุมทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น กองทุนต่างประเทศ เช่น กองทุนเปิดกรุงศรีลาตินอเมริกาอิควิตี้ (KF-LATAM) , กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้ (KF-INDIA) สามารถสร้างผลผลตอบแทนอันดับ 1 และ 2 ของอุตสาหกรรมประเภทกองทุนหุ้น Emerging Market , กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเพิ่มทรัพย์ (KFSPLUS) เป็นกองทุนที่มียอดเงินลงทุนสุทธิสูงสุดอันดับ 2 ของอุตสาหกรรม (ไม่รวมกองทุน Term fund), กองทุนเปิดกรุงศรีเอ็นแฮนซ์แอคทีฟตราสารหนี้ (KFENFIX) สามารถสร้างผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมประเภทกองทุน Long Term General Bond , กองทุนเปิดกรุงศรีไทยสมอล-มิดแคปอิควิตี้ (KFTHAISM) สามารถสร้างผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมประเภทกองทุนหุ้น Equity Small – Mid Cap ,กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นไดนามิคเพื่อการเลี้ยงชีพ (KFDNMRMF) สามารถสร้างผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมประเภทกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ทั้งนี้ (ข้อมูล บลจ.กรุงศรี 30 มี.ค. 66) และกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวไดนามิค-ปันผล (KFLTFDNM-D) สามารถสร้างผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 3 ของอุตสาหกรรมประเภทกองทุน LTF (ข้อมูล: Morningstar ณ 30 ธ.ค. 65)

นอกจากนี้ในปี 2565 บริษัทยังได้รับรางวัลจากสถาบันชั้นนำระดับสากล จำนวนรวมทั้งสิ้น 12 รางวัล สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงศักยภาพและความเป็นมืออาชีพด้านการบริหารจัดการกองทุน

ศิระ คล่องวิชา

นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงเนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และภาคธนาคารมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงตัวอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่งและมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลังจากผลของฐานสูงในปีที่แล้ว ตัวเลขที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงานบ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีความสามารถในการใช้จ่าย และการบริโภคจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป รวมทั้งส่งผลดีต่อการเติบโตของภาคการผลิตเช่นกัน นอกจากนี้ การเปิดประเทศของจีนเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เช่น การใช้จ่ายของผู้บริโภคและตลาดแรงงานของสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่ง การเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน การชะลอตัวของเงินเฟ้อ การคลี่คลายของปัญหาในภาคอุปทาน การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบอื่นๆจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก การกีดกันการค้า ความผันผวนของค่าเงิน สงคราม เป็นต้น”นายศิระ กล่าว

บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นต่างประเทศที่ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับไม่แพง ขณะที่แรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมีแนวโน้มลดลงหลังจากเงินเฟ้อเริ่มมีทิศทางชะลอตัวลง และโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐทำให้ภาคธนาคารพาณิชย์ทั้งในฝั่งสหรัฐและยุโรปมีสเถียรภาพมากยิ่งขึ้น และส่งผลบวกต่อหุ้นโดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี สำหรับการลงทุนในตลาดประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะฝั่งเอเชียที่เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นนั้นมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากสหรัฐและยุโรปยังมีความผันผวนสูงจากภาคธนาคารพาณิชย์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB และ FED ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดอยู่

นอกจากนี้ยังมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยธนาคารกลางสหรัฐเข้าใกล้การยุติการขึ้นดอกเบี้ยและอาจจะกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า (2567) อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนักลงทุนบางส่วนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจำเป็นต้องเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้เป็นต้นไป เนื่องจากความตึงเครียดในภาคสถาบันการเงิน ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จะช่วยหนุนผลตอบแทนของตราสารหนี้ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยผลตอบแทนของตราสารหนี้ต่างประเทศ ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับน่าดึงดูดใจ (ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 US Investment grade corporate bond index ให้ Yield to maturity อยู่ที่ราว 5.45% ต่อปี)

ด้านเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาดจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยว ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นตามภาคการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2566 คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับอย่างน้อย 1.75%-2.00% ในปี 2566 ขึ้นกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย

“การลงทุนหุ้นไทยในระยะสั้นจะยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศ จนกว่านักลงทุนจะคลายความกังวลต่อวิกฤติการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ส่วนในระยะกลางและระยะยาวตลาดหุ้นไทยจะตอบรับปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ได้รับประโยชน์ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเลือกตั้งทั่วไป สำหรับแนวโน้มของดัชนี SET Index ยังคงขึ้นอยู่กับบรรยากาศการลงทุนโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าปัญหาของภาคธนาคารในประเทศตะวันตกจะไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพสถาบันการเงินไทยก็ตาม ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดไทยกว่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้”นายศิระ กล่าว

พร้อมมองเป้าหมายดัชนี SET ปี 2566 ไว้ที่ 1,740 จุด กรอบล่างที่ 1,520 จุด จากปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ

ตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2566 ยังคงมีความผันผวนของผลตอบแทนในช่วงดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับขอบบนของเงินเฟ้อเป้าหมายที่ธปท.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 3.00 ทั้งนี้ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนจะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านอายุคงเหลือเฉลี่ยกองทุนเชิงรุกจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มในกับกองทุนได้จากความผันผวนของตลาดตลอดทั้งปี

สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2566 ได้แก่ การลงทุนในหุ้นจีนเนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่ง และตลาดหุ้นจีนมักไม่เคลื่อนไหวไปตามการปรับตัวของตลาดหุ้นอื่นๆ และการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงที่มีแบรนด์แข็งแกร่งเนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไรที่สมํ่าเสมอ ซึ่งมีความเหมาะสมในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง รวมทั้งการลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐทั่วโลก

นอกจากนี้ นโยบายการเงินที่กลับทิศ (Policy U-turn) ซึ่งรวมถึงการหยุดขึ้นดอกเบี้ยและความน่าจะเป็นที่สูงขึ้นในการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มส่งผลให้หุ้นเติบโตและหุ้นเทคโนโลยีกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่เผชิญแรงกดดันจากอัตราคิดลด (Discount rate) และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นในปีที่ผ่านมา จนปรับตัวลดลงมาซื้อขายในระดับไม่แพง อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงหลักในปี 2566 ได้แก่ ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอยจากการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดมาเป็นระยะเวลานาน ต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน และการชะลอตัวของภาคการบริโภค” นายศิระกล่าว