HoonSmart.com>> หุ้นไทยไตรมาสแรกร่วง 3.57% ฝีมือนักลงทุนต่างชาติถล่มยับ -56,876.12 ล้านบาท แนวโน้มไตรมาส 2/66 โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองดีขึ้น หลังราคาถอยสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว แรงหนุนจากทิศทางขึ้นอัตราดอกเบี้ยชะลอตัว, เลือกตั้งผลักดันการบริโภค , ท่องเที่ยวบูมเศรษฐกิจดีขึ้น กรณีดีสุดดัชนีฯขึ้นทดสอบ 1,730 ส่วนกรณีอ่อนตัวลงมีสิทธิ์ลงไปแตะ 1,520 เชียร์หุ้นเด่น 21 ตัว ADVANC, CPALL, COM7, SAPPE, SPA, BGRIM, GPSC, BDMS, BCH, SNNP, RBF, BJC, CK, STEC, TOP, BCP, MAKRO, MAJOR, PTG, GULF, GUNKUL
ตลาดหุ้นไทยเดือนมี.ค. 2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,609.17 จุด ลดลงเล็กน้อย 13.18 จุดหรือ 0.81%จากเดือนก.พ.ปิดที่ระดับ 1622.35 จุด โดยรวมไตรมาสแรก ดัชนีลดลง 59.49 จุด คิดเป็น 3.57% เทียบกับสิ้นปี 2565 ปิดที่ระดับ 1,668.66 จุด
สาเหตุที่ดัชนีปรับตัวลงแรงไตรมาสแรก เกิดจากนักลงทุนต่างชาติทิ้งหนักมือ -56,876.12 ล้านบาท บัญชีบล.ขายด้วย 3,197.49 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยซื้อมากที่สุด 54,553.41 ล้านบาท สถาบันไทยซื้อด้วย 5,520.21ล้านบาทผลจากเดือนมี.ค.พลิกกลับมาซื้อ 16,005.61 ล้านบาท เนื่องจากบลจ.หลายแห่งมีการออกเสนอขายทริกเกอร์ฟันด์ ให้ผลตอบแทน 5.00-6.00% ภายใน 5-6 เดือน เพราะมองเห็นโอกาสจากดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมากและมีปัจจัยบวกสนับสนุน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ -31,708.44 ล้านบาทในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2/66 คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาส 1 หลังจากที่ดัชนีฯถอยลงไปมากแล้ว จากแรงกดดันปัญหาระบบธนาคารในสหรัฐ และยุโรป ซึ่งขณะนี้มีการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และไทยคงจะไม่สูงไปกว่านี้แล้ว ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีกครั้ง ส่วนไทยก็อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาส 2/66 โดยฝ่ายวิจัยมองเป้าหมายดอกเบี้ยของไทยปีนี้ไว้ที่ 2% ดังนั้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยไม่ได้ปรับขึ้นรุนแรง และเงินเฟ้อถอยได้ก็จะดีต่อการลงทุน ทำให้นักลงทุนกล้ากลับมาลงทุนได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังมี Sentiment บวกจากการท่องเที่ยว และการบริโภคที่ดีขึ้น ส่วนการส่งออกคงจะต้องรอฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 66 เพราะขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังไม่แข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และยังอยู่ในช่วงของการเลือกตั้งที่เป็นแรงหนุนด้วย คาดว่าหลังการเลือกตั้งตลาดจะ rally ได้ โดยดัชนีฯมีโอกาสแกว่งขึ้นในไตรมาส 2 ไปทดสอบแนวต้านที่ 1,680 จุด ส่วนแนวรับ 1,520 จุด และปี 2566 มองเป้าหมายดัชนี SET ไว้ที่ 1,720 จุด
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในไตรมาส 2/66 คือ กลุ่มบริการที่จะดูเด่นกว่าภาคผลิต แนะนำหุ้นในกลุ่ม ICT เชียร์หุ้น ADVANC โมเมนตัมดีขึ้นหลังการแข่งขันทางธุรกิจเหลือผู้เล่นแค่ 2 ราย ให้ราคาเป้าหมาย 240 บาท, กลุ่มค้าปลีก การจับจ่ายใช้สอยดีขึ้นจากการเลือกตั้ง และยังได้มาตรการภาครัฐหนุน เชียร์ CPALL ราคาเป้าหมาย 79 บาท และ COM7 ราคาเป้าหมาย 40.30 บาท, กลุ่มเครื่องดื่ม เชียร์หุ้น SAPPE ราคาเป้าหมาย 66.10 บาท คาดกำไรไตรมาส 1/66 ทำ All time high และกลุ่มท่องเที่ยว ตอบรับนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนักลงเที่ยวชาวจีน เชียร์หุ้น SPA ราคาเป้าหมาย 15 บาท
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ไตรมาส 2/66 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะชะลอตัวได้ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ จากผลประกอบการไตรมาส 1/66 คาดว่าจะยังฟื้นตัวได้ช้า และนักลงทุนต่างชาติยังชะลอการลงทุน เพื่อรอดูผลการเลือกตั้งก่อนว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีเสถียรภาพมาก/น้อยแค่ไหน รวมถึงปัจจัยจากต่างประเทศยังไม่แน่นอน ซึ่งปัญหาภาคธนาคารรอบนี้มองว่าแก้ไขยาก แม้จะมีการอัดสภาพคล่องช่วยเหลือไปมากแต่ก็ไม่ช่วยเท่าไร
“หากเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรง เพื่อคุมเงินเฟ้อก็อาจจะเจอธนาคารล้มได้อีก ซึ่งเหตุการร์ที่เกิดขึ้นกับ SVB มาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรง ทำให้เศรษฐกิจไปไม่ได้ คนกู้ไปลงทุนก็ไม่ได้ ยิ่งขึ้นดอกเบี้ย คนก็ยิ่งแห่ถอนเงินไปลง Money Market”นายสุนทรกล่าว
สำหรับการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับนโยบายพรรคที่จะชนะ ยกตัวอย่าง หากใครมองว่า พรรคเพื่อไทย จะชนะการเลือกตั้ง ก็ต้องไปมองที่นโยบายของพรรคที่จะเพิ่มค่าแรงงาน ทำให้การจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น กลุ่มไฟแนนซ์ก็จะปรับขึ้น, นโยบายหนุนคริปโตก็จะทำให้บริษัทในกลุ่มคริปโตปรับขึ้น, เพื่อไทยมาจริงหุ้นเกี่ยวข้องอย่างหุ้น SC, SIRI ก็จะปรับขึ้น ทั้งนี้ไตรมาส 2/66 มองกรอบดัชนีฯไว้ที่ 1,520-1,630 จุด
หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในไตรมาส 2/66 มองหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำหุ้น BGRIM ราคาเป้าหมาย 64.50 บาท, GPSC ราคาเป้าหมาย 80 บาท ส่วนกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำหุ้น BDMS ราคาเป้าหมาย 33.90 บาท, BCH ราคาเป้าหมาย 23.40 บาท และกลุ่มเครื่องดื่ม แนะนำหุ้น SNNP ราคาเป้าหมาย 30.30 บาท, RBF ราคาเป้าหมาย 30.30 บาท
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2/66 คาดว่าจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ อิงบวกได้เล็กน้อย กรณีดีสุดให้ไว้ที่ 1,620-1,650 จุด ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,580-1,570 จุด โดยน่าจะได้แรงหนุนจากการเลือกตั้ง และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบแล้ว ส่วนปัญหาภาคธนาคารในสหรัฐ และยุโรปก็ไม่ได้มีข่าวลบออกมาเพิ่มเติม แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
นอกจากนี้ ตลาดยังมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หากปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ครั้งเดียว ก็จะดีต่อตลาดเพราะวงจรการขึ้นดอกเบี้ยใกล้จบ แต่ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่า 1 ครั้งเช่นกัน หากเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแรงอีก ทั้งภาคแรงงาน และเงินเฟ้อที่ยังสูง สำหรับปัจจัยในประเทศตัวเลขการส่งออกในครึ่งปีแรกไม่ดี แต่คาดว่าจะกระเตื้องได้ในครึ่งปีหลัง ถ้าอัตราดอกเบี้ยไม่ปรับขึ้นอีก ส่วนการส่งออกที่แย่ก็จะถูกแทนด้วยการท่องเที่ยว และการบริโภคที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงมองตลาดมีทั้ง Risk & Return
ด้านหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในไตรมาส 2/66 มองก่ลุ่มค้าปลีก จากการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้นจากการเลือกตั้ง เชียร์ BJC, CPALL นอกจากนี้หุ้นในกลุ่ม Domestic plays ที่น่าสนใจยังมี ADVANC ส่วน CK มองงานในมือ (Backlog) กำลังสูงขึ้น , STEC จากงานในมือ (Backlog) สูง และราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มนิ่ง ประกอบการการแข่งขันน้อยลง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโรงไฟฟ้า กำลังจะประกาศผลเรื่องพลังงานหมุนเวียน เชียร์ BGRIM, GPSC กลุ่มโรงกลั่น ผลประกอบการไตรมาส 1/66 คาดว่าจะออกมาดี จากค่าการกลั่นสดใส เชียร์ TOP, BCP ส่วนกลุ่มพลังงานมองว่าคงจะแกว่งตามราคาน้ำมัน ซึ่งปีนี้ราคาน้ำมันปรับตัวลงมาก จึง Wait & See ไปก่อน
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในไตรมาส 2/66 น่าจะดีขึ้นหลังสะท้อนงบฯปี 65 ที่แย่ไปแล้ว และไตรมาส 1 หลายธุรกิจผลประกอบการน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มพลังงาน ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 1/66 น่าจะดีขึ้น ทำให้น่าจะเห็นภาพการลงทุนดีขึ้น นอกจากนี้ การเลือกตั้งก็เป็นปัจจัยบวกให้กับตลาด และนโยบายของเฟดที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ช่วยหนุนการลงทุน
ทั้งนี้ การเลือกตั้งจะเป็นบวกต่อกลุ่มการบริโภคที่จะดีขึ้น แต่ก็เป็นลบต่อกลุ่มที่อิงโครงการภาครัฐ เพราะต้องรอให้มีครม.ใหม่ โครงการต่าง ๆ จึงจะเดินหน้าต่อไปได้ กว่าจะมีครม.ชุดใหม่ก็ประมาณเดือนส.ค. และทำงานได้ก็ราวปลายปีนี้เป็นอย่างเร็ว ส่วนหลังการเลือกตั้งการลงทุนจะดีมาก/น้อยขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง่ พร้อมให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในช่วงไตรมาส 2/66 ไว้ที่ 1,580-1,730 จุด
ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนในไตรมาส 2/66 เป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอย่างหุ้นในกลุ่มค้าปลีก แนะนำหุ้น CPALL, MAKRO, BJC และกลุ่มการเปิดเมือง เปิดประเทศ ที่ยัง Laggard อยู่ แนะนำ SPA, MAJOR, PTG นอกจากนี้กลุ่มโรงไฟฟ้าก็น่าสนใจ จากการคัดเลือกพลังงานหมุนเวียน เชียร์หุ้น GULF, BGRIM, GUNKUL
ด้านภาวะเศรษฐกิจธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มองว่าเดือนก.พ.ดีขึ้นและคาดว่าจะเีขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนมี.ค. ส่วนธนาคารโลก นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2566 จะเติบโตได้ 3.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่เติบโตได้ 2.6% แต่ยังฟื้นตัวจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ได้ช้ากว่าประเทศอื่นในอาเซียน โดยแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจากภาคการท่องเที่ยว คาดยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 27 ล้านคน ส่วนส่งออกในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ จะหดตัว 1.8% ในปีนี้
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดจะเติบโตได้ 3.7% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.3% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.8% ของจีดีพี ส่วนปี 2568 เศรษฐกิจจะเติบโต 3.5% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.0% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.4% ของจีดีพี
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกรายงาน “เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่สดใส ส่งออกไทยเสี่ยงหดตัวแรง”โดยปรับประมาณการเศรษฐกิจลงจากเติบโต 3.6% เหลือ 3.3% แม้เพิ่มคาดการณ์นักท่องเที่ยวเป็น 29.8 ล้านคนจากเดิม 25.1 ล้านคน แต่การส่งออกจะติดลบ 3.1% จากที่เคยประเมินไว้ที่ 1.8% ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพียง 0.3% ของ GDP และยังคงประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแตะระดับ 2.25% ในปีนี้