เอ็มเอไอ อ้าแขนรับ SONIC ซื้อขาย 19 ต.ค.นี้

ตลาด เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ SONIC โลจิสติกส์ครบวงจรระดับภูมิภาค ซื้อขาย 19 ต.ค.นี้ ราคาไอพีโอ 1.95 บาท มาร์เก็ตแคป ณ ราคาไอพีโอ 1,072.50 ล้านบาท

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า mai ยินดีต้อนรับ บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ในกลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “SONIC” ในวันที่ 19 ตุลาคม 2561

SONIC และบริษัทย่อย ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง (Total Logistics Service Provider) โดยเป็นผู้บริหารจัดการเคลื่อนย้ายสินค้าทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ผ่านช่องทางการขนส่งทางทะเล ทางอากาศ และทางบก โดยมีศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าตั้งอยู่บนถนนกิ่งแก้ว จ. สมุทรปราการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินขนส่งได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ บริษัทมีบริการขนส่งสินค้าทางบกข้ามชายแดน (Cross-Border Transport) ไปยังประเทศกัมพูชา

SONIC มีทุนจดทะเบียน 290 ล้านบาท ทุนชำระแล้ว 275 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 400 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 150 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) 128 ล้านหุ้น หุ้นละ 1.95 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 292.50 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,072.50 ล้านบาท

นายสันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SONIC เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญโลจิสติกส์มานานกว่า 22 ปี ให้บริการที่ครบวงจร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านการขนส่งสินค้าทั้งในและต่างประเทศ มีเครือข่ายพันธมิตร ที่แข็งแกร่งครอบคลุม 134 ประเทศทั่วโลก การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยสร้างฐานทุนที่แข็งแกร่ง เพิ่มจำนวนรถขนส่ง พัฒนาศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า ซื้อที่ดินและอาคารเพื่อดำเนินงานสาขาแหลมฉบัง พัฒนาระบบสารสนเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

SONIC มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายสันติสุข โฆษิอาภานันท์ ถือหุ้น 62.25% กลุ่มนายรนัท เลียวเลิศสกุลชัย ถือหุ้น 4.80% และกลุ่มนางสาวเสาวลักษณ์ นิลแวว ถือหุ้น 1.71% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 1.95 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 21.67 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2560-30 มิถุนายน 2561) ซึ่งเท่ากับ 48.96 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท ทั้งนี้

บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิภายหลังจากหักภาษี ทุนสำรองตามกฎหมาย