ดาวโจนส์ทรุด 530 จุด เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25%ตามคาด  

HoonSmart.com>>3 ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรงกว่า 1.6%  เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ไปที่ 4.75%-5% ตามคาด ส่งสัญญาณปรับขึ้นอีกหนึ่งครั้งในปีนี้  กลุ่มธนาคารเจอแรงขาย ส่วนหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นหลังจากบอนด์ยีลด์ลดลง ส่วนหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดวันที่ 22 มีนาคม2566 ปิดที่ 32,030.11 จุด ลดลง 530.49 จุด หรือ 1.63% ด้วยแรงขายในกลุ่มธนาคารหลังจากที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้และนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดย้ำจุดยืนการต่อสู้กับเงินเฟ้อ

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,936.97 จุด ลดลง 65.90 จุด, -1.65%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,669.96 จุด ลดลง 190.15 จุด, -1.60%

ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงแรก โดยดัชนีดาวโจนส์ช่วงหนึ่งเพิ่มขึ้นถึง 201.29 จุด แต่หลังจากการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและการแถลงของนาย พาวเวลล์ ตลาดปรับตัวลงในช่วงสองชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย

เฟดปรับดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ไปที่ 4.75%-5% ตามคาด

ในแถลงการณ์เฟดระบุว่า การดำเนินการนโยบายการเงินเข้มงวดเพิ่มเติมอาจจะเป็นการเหมาะสม ขณะที่นายพาวเวลล์กล่าวว่า เงินฝากในธนาคารถือว่าปลอดภัยจากการร่วมมือของเฟด บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง(FDIC) และกระทรวงการคลัง แต่ก็เร็วเกินไปที่จะบอกว่านโยบายการเงินควรตอบสนองต่อสถานการณ์ในภาคธนาคารอย่างไร

แถลงการณ์ของเฟดยังระบุว่า วิกฤติในภาคธนาคารน่าจะมีผลให้สินเชื่อตึงตัวขึ้น

ด้านนายพาวเวลล์กล่าวว่า ภาวะการเงินดูเหมือนว่าจะตึงตัวขึ้น และเฟดจะดูว่ารุนแรงแค่ไหนและจะต่อเนื่องหรือไม่ หากว่าเป็นเช่นนั้น ก็จะมีผลต่อเศรษฐกิจมหภาคได้ และเฟดจะนำไปประกอบการพิจารณาในการดำเนินนโยบายการเงิน

โทมัส ไซมอนส์ นักเศรษฐศาสตร์จาก Jefferies ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดครั้งเป็นไปตามมุมมองระยะยาวที่คาดการณ์ไว้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปที่ 5.125% และจะชะลอไประยะหนึ่ง แต่จากความเสี่ยงที่วิกฤติในภาคธนาคารจะลุกลาม ก็คาดว่าเฟดจะประสบกับการตัดสินในเรื่องนโยบายการเงินแบบเดียวกันในเดือนพฤษภาคม และอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อสภาคองเกรสว่า ไม่ได้มีการหารือที่จะคุ้มครองเงินฝากทั้งหมดของภาคธนาคาร

หุ้น First Republic และหุ้น Pacwest ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคลดลง 15.5% and 17% ตามลำดับ

หุ้นเทคโนโลยี 5 บริษัทปรับตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลงมาที่ 3.47% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีลดลงมาที่ 3.998% โดยหุ้นเมตาแพลตฟอร์มส หุ้นแอปเปิล หุ้นไมโครซอฟต์ หุ้นออราเคิลต่างเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1% หุ้น Nvidia บวก 4%

หุ้น KB Home บวก 2.7% หลังรายงานผลการดำเนินงานสูงกว่าคาด

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย แม้กลุ่มบริการทางการเงินลดลง 1.1% แต่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 1.3% ขณะที่นักลงทุนรอผลการประชุมของธนาคารสหรัฐ(เฟด) ที่จะประกาศหลังปิดการซื้อขายของวัน ซึ่งคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

โจนาส โกลเตอร์มานน์ จาก Capital Economics กล่าวว่า ตลาดปรับขึ้นเพราะยังขานรับการแก้ไขปัญหาของธนาคารเครดิต สวิส และการดำเนินการจัดการกับวิกฤติภาคธนาคารในสหรัฐ

อังกฤษรายงานเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด โดยเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจาก 10.1% ในเดือนมกราคมเป็น 10.4% สูงกว่า 9.9% ที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นจาก 5.8% เป็น 6.2% ซึ่งสูงกว่าคาดเช่นกัน

ธนาคารกลางอังกฤษกำหนดประชุมนโยบายการเงินในวันนี้(23 มี.ค.)

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 447.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.69 จุด, +0.15%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,566.84 จุด เพิ่มขึ้น 30.62 จุด, +0.41%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,131.12 จุด เพิ่มขึ้น 18.21 จุด, +0.26%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,216.19 จุด เพิ่มขึ้น 20.85 จุด, +0.14%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 70.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1.37 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 76.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล