HoonSmart.com>>โบรกฯเทน้ำหนักปัจจัยต่างประเทศ เล็งเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หากเซอร์ไพรส์ไม่ขึ้นตลาดจะเด้งขึ้นแรง หวั่นวิกฤตภาคธนาคารในสหรัฐประทุ ปัจจัยในประเทศยังเกื้อหนุนตลาด เชียร์กลุ่ม Domesxclutic plays และหุ้นลงลึก แนะนำ BGRIM, GPSC, EGCO, SNNP, OSP, KBANK, BBL, AOT, CPN, CRC ให้กรอบแกว่ง 1,518-1,600 จุด ด้านผลงานบจ.ปี 65 ยอดขายเติบโตดี แต่ความสามารถทำกำไรชะลอตัว เจอต้นทุนเพิ่มขึ้น แนวโน้มครึ่งปี 66 มีความท้าทายจากราคาน้ำมันทรงตัวสูง
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่าตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ (20-24 มี.ค.2566) นักลงทุนต่างรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ (22 มี.ค.) ซึ่งตลาดให้น้ำหนักไปในทางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% แต่ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.5% จะเป็นลบต่อตลาด และหากไม่ปรับขึ้น ตลาดก็จะเด้งขึ้นแรง ส่วนปัจจัยในประเทศ แม้จะประกาศยุบสภา ตลาดก็ยังคงเงียบ เพราะได้รับรู้ไปแล้ว สนใจโพลชี้ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลชุดใหม่มากกว่า
“ช่วงนี้ตลาดคงจะแกว่งกว้าง เพราะปัญหาภาคธนาคารในสหรัฐอาจมีอะไรอีก “น้ำลดตอผุด” อะไรก็จะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา แม้ตอนนี้จะมีการอัดฉีดสภาพคล่อง แต่เรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐยังเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งมองสหรัฐเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว รอบนี้สหรัฐคงจะแก้ปัญหาได้ยาก เพราะเงินเฟ้อยังสูง”
ส่วนตลาดหุ้นไทยมอง Outperform กว่า แต่ก็ควรจะลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยมองหุ้นปลอดภัยที่ลงทุนได้เป็นหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะได้ประโยชน์จากราคาพลังงานปรับตัวลง และยังจะมีแรงหุ้นหนุนจากการเปิดรับซื้อพลังงานหมุนเวียนอีก 5,200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะประกาศ 5 เม.ย.นี้ รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับตัวลงก็ดีต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าด้วย แนะนำหุ้น BGRIM, GPSC, EGCO และกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก ก็ยังน่าสนใจลงทุนได้บางตัว เช่น หุ้น SNNP, OSP เป็นต้น
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดรีบาวด์ในช่วงสั้น ๆ ได้ หากประกาศยุบสภา น้ำหนักจะให้ที่ผลการประชุมเฟด ขณะนี้ให้น้ำหนัก 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และยังมีโอกาสที่จะคงอัตราดอกเบี้ยได้ด้วย หลังจากที่ภาคธนาคารในสหรัฐเกิดวิกฤตสภาพคล่อง
“ธนาคารล้มก็มีคนบอกว่ามีใส้ในอะไรเปล่า ก็ต้องรอดู แต่ธนาคารที่ล้มเป็นธนาคารขนาดเล็กไม่ใช่ทั้งระบบธนาคารที่มีปัญหา ซึ่งธนาคารล้มต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา แต่ถ้าหุ้นขึ้นเดี๋ยวคนก็ลืมไป ถ้าหุ้นขึ้นเยอะเรื่องนี้ก็จะหายไปเอง”นายถนอมศักดิ์กล่าว
“สัปดาห์นี้ตลาดคงจะเป็นลักษณะของการปรับตัวลงแล้วเด้งขึ้น ซึ่งถ้าผ่านด่าน 1,580 จุดขึ้นไปได้จะเป็นสัญญาณที่ดี และมีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,600 จุด ส่วนแนวรับ 1,518 จุด ซึ่งดัชนีควรยืนเหนือ 1,550 จุดให้ได้ พร้อมแนะนำหุ้นที่ปรับตัวลงแรงน่าสนใจลงทุน อย่างหุ้นในกลุ่มธนาคาร และหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้น KBANK, BBL, AOT
นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การยุบสภาเป็นบวกต่อตลาด แต่น้ำหนักจะอยู่ที่ต่างประเทศ ตลาดอยู่ในลักษณะของการชะลอการลงทุน เพื่อรอดูผลการประชุมเฟดในวันที่ 22 มี.ค.นี้ หลังจากที่มีเรื่องวิกฤตภาคธนาคาร และเฟดได้เข้าช่วยเหลือธนาคารที่มีปัญหาสภาพคล่องแล้ว สามารถสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ แต่ก็ต้องรอดูว่าจะมีอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ ซึ่งปัญหาภาคธนาคารอาจเป็นจุดเริ่มของเรื่องอื่น ๆ ตามมาก็ได้ อาจเป็นเรื่องเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมองเป็นบวกหลังจากที่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว มองกรอบดัชนีด้านบนอยู่ที่ 1,575 หากผ่านไปได้มีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,600 จุด กรณีเลวร้านเจอผลกระทบจากต่างประเทศก็มองด้านล่างไว้ที่ 1,540 จุด หุ้นที่น่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่ม Domestic plays พวกกลุ่มค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์, ธนาคาร, ท่องเที่ยว อาทิ หุ้น AOT, CPN, CRC เป็นต้น
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET ประกาศผลการดำเนินงานปี 2565 มียอดขาย 17,680,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.4% แต่มีต้นทุนการผลิต 13,916,480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.8% กำไรจากการดำเนินงานหลัก 1,832,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% และมีกำไรสุทธิ 974,759 ล้านบาท ลดลง 1.9%
อย่างไรก็ดี ปี 2565 มีรายการพิเศษค่อนข้างสูง หากไม่รวมรายการดังกล่าวจะทำให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 5%
สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 31 ธันวาคม 2565 บจ.มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.53 เท่า ในปี 2564