“มอร์แกนสแตนเลย์” เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ตลาดหุ้นไทย มองหลายปัจจัยหนุน ฐานะแข็งแกร่งบาทแข็ง กำไรบจ.โต เพิ่ม เลือกตั้งปีหน้าและเร่งลงทุนโครงการใหญ่เพิ่ม ดึงเงินต่างชาติไหลเข้า พร้อมเพิ่มน้ำหนักกลุ่มพลังงานและอุปโภคบริโภค
บทวิเคราะห์แนะนำการลงทุนของมอร์แกนแสตนเลย์ ล่าสุดระบุว่า ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลง 3.2% ในสกุลดอลลาร์ แต่เป็นตลาดที่ปรับตัวขึ้น (perform) ดีที่สุดในอาเซียนและตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น โดยนับตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่นแล้ว 18% และปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดอาเซียน 13%
แม้ตลาดหุ้นไทยจะเทรดกันที่ P/E อนาคตระดับ 14.2 เท่า และมีพรีเมี่ยมสูงกว่าตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่นถึง 30% แต่ยังคงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) จากปัจจัยต่อไปนี้ มีความเปราะบางต่อสถานการณ์ภายนอกน้อยที่สุด 2.ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า 3.ผลประกอบการอาจจะดีกว่าที่คาด (Upside Risk to earnings) 4. ฐานะลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ในระดับต่ำ
บทวิเคราะห์ยังระบุเหตุผลที่ยังคงมองในมุมบวก เพราะ 1.มีความเปราะบางต่อสถานการณ์ภายนอกน้อยที่สุด ทั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น 2 ค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงในระดับราว 10% ของจีดีพี รวมทั้งเศรษฐกิจที่เติบโตจากปัจจัยภายในและแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
3.ผลประกอบการอาจจะดีกว่าที่คาด (Upside Risk to earnings) นับตั้งแต่ต้นปีประเทศไทยมีการปรับประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจสูงปี 2018 และปี 2019 ขึ้น 0.07-0.20% ตามลำดับซึ่งปรับขึ้นสูงที่สุดในอาเซียน และนับตั้งแต่ต้นปีการคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนได้มีการปรับขึ้น 1.70%
สำหรับมอร์แกนสแตนเลย์เองมองว่ามีโอกาสปรับขึ้น 3% จากที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่มอร์แกนสแตนเล่ย์ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน และได้ขยายไปถึงกลุ่มอุปโภคบริโภคจากอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มยานยนต์มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 88% และกลุ่มปิโตรเคมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 85% ซึ่งจะมีส่งผ่านไปยังการบริโภคจากค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น
4.ฐานะลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ในระดับต่ำ นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกไปแล้ว 6.5 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนที่ลงทุนตามดัชนี MSCI EM ขณะนี้มีน้ำหนักการลงทุนต่ำที่สุด(เท่ากับน้ำหนักดัชนี)ในตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
มอร์แกนสแตนเลย์ มองว่ามีปัจจัยหลายข้อที่จะเร่งให้ความสนใจของต่างชาติกลับเข้ามาอีก ซึ่งได้แก่หนึ่ง แรงหนุนของตัวชี้วัดหลายตัวที่มีความถี่สูงชี้ไปที่การบริโภค สองการปรับประมาณการณ์ผลการดำเนินงานขึ้น สาม ความเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 ตามตารางที่วางไว้ สี่ การเร่งก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค และห้า การลงทุนภาคเอกชน
คำแนะนำการลงทุน มอร์แกนแสตนเลย์ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มพลังงานและกลุ่มอุปโภคบริโภคในตลาดหุ้นไทย ซึ่งในเดือนพฤษภาคมได้ปิดคำแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารและให้ลงทุนแบบเท่ากับตลาด
นักลงทุนต่างชาติยังมีการจัดพอร์ตแบบบาร์เบล (Barbell)(การจัดพอร์ตในลักษณะนี้นักลงทุนจะกระจายการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน) โดยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารและลดน้ำหนักการลงทุนในฝกลุ่มอุตสาหกรรม คือกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ในไตรมาส 3 ปีนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงลดการลงทุนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อเนื่อง แต่เพิ่มการลงทุนในกลุ่มพลังงาน
ในด้านราคา นักลงทุนซื้อ SCB, IVL, KTB และ CPN แต่ขาย CPALL, SCC, PTTGC, TOP และ PTT
