บล.กสิกรฯแนะกลยุทธ์ “ตั้งรับ” หลายปัจจัยกดดันตลาด คงเป้า SET ปีนี้ 1,768 จุด

HoonSmart.com>> “บล.กสิกรไทย” แนะกลยุทธ์ลงทุนเดือนมี.ค. “ตั้งรับ” ถูกกดดันจากผลประกอบการไตรมาส 4 อ่อนตัวต่ำกว่าประมาณการ ความหนืดของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง พร้อมคงเป้าดัชนี SET ปี 66 ที่ 1,768 จุด ยังเร็วเกินไปที่จะพลิกเป็นตลาดขาขึ้น ปัจจัยลบกดดัชนี ด้าน PMI ทั่วโลกดีขึ้นบ่งบอกถึงช่วงเวลาใกล้เข้ามาแล้ว มองเลือกตั้งในไทยปีนี้ไม่ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อตลาด เหตุเศรษฐกิจไม่แข็งแกร่งเมื่อเทียบปี 48 ด้านหุ้น “กลุ่มอาหาร-สื่อ” ทำได้ดีในการเลือกตั้งครั้งก่อน

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย (KS) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนเดือนมี.ค. : ตั้งสติ – ภาค 2 โดยมอง SET Index ถูกกดดันจากกำไรไตรมาส 4 ที่อ่อนตัวและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ยังมีความหนืด แต่ยังคงเป้า SET Index ปี 2566 ที่ 1,768 จุด ซึ่งอิงตาม market EPS ปี 2567 ที่ 17 เท่า ที่ 104 บาท (ประมาณ +0.5SD) นับตั้งแต่การอัปเดตของ KS เมื่อเดือน ม.ค. SET Index ปรับตัว 2.2% จากกำไรไตรมาส 4 ที่อ่อนแอ ซึ่งบริษัท 130 แห่งจาก 197 แห่ง ภายใต้ KS coverage รายงานกำไรที่ลดลง 34% YoY และ 24% QoQ กำไรสุทธิรวมจนถึงตอนนี้ต่ำกว่าประมาณการของ KS และตลาดอยู่ 26% และ 22% ตามลำดับ

ในมุมมองของ KS ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคืออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่อาจยังคงมีความหนืด โดยดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ม.ค. ล่าสุดอยู่ที่ 5.4% YoY (0.6% MoM) และอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาส “เพิ่มขึ้นในระยะยาว”

KS ยังคงแนะนำให้นักลงทุนยังคงตั้งรับ เนื่องจากปัจจัยลบที่สำคัญ เช่น ผลประกอบการไตรมาส 4 อัตราเงินเฟ้อที่ของสหรัฐฯ ที่มีความหนืด และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย “ที่จะยืนสูงต่อเนื่อง” ในมุมมองของ KS ยังมีผลทางลบต่อตลาดอยู่

แม้ว่าหุ้น top picks ของจะเป็นแบบตั้งรับ แต่ก็สร้างผลตอบแทนที่ +0.6% (ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.) เทียบกับ SET Index ที่ -2.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำผลงานได้ดีกว่า 3.1ppt หุ้นเด่นของเราส่วนใหญ่รายงานกำไรไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง และเราไม่กังวลเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 4 ที่อ่อนแอของ BLA เนื่องจากการดำเนินงานหลักเช่น มูลค่า embedded value/EV และ value of new business/VNB นั้นแข็งแกร่ง และแสดงถึงแนวโน้มการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น

KS มีการสลับหุ้นเด่นเล็กน้อย โดยเอา AAI (+3.7%) ออกและแทนที่ด้วย BBL เนื่องจาก KS ชอบแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อ มี exposure ไม่มากกับ SME และสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง และการลงทุนในธนาคาร Permata Bank ประเทศอินโดนีเซีย

๐ ยังเร็วเกินไปที่ตลาดจะพลิกกลับเป็นขาขึ้น แต่จังหวะใกล้ถึง

แนวโน้มคุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายด้วยอัตราส่วนหนี้เสีย (NPL) ที่สูงขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ธนาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ BBL และ KTB มีแนวโน้ม NPL ที่ดีขึ้น ในขณะที่สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารยังคงต้องเผชิญกับ NPL ที่เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง และสินเชื่อเช่าซื้อ (HP) รถจักรยานยนต์มีแนวโน้มที่จะรายงานคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลงอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2566

อย่างไรก็ตาม ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตทั่วโลกในเดือน ม.ค. เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ดังนั้น ในมุมมองของ KS ตลาดคงใช้เวลาอีกไม่นานที่จะพลิกกลับมาเป็นขาขึ้น

๐ พรรคฝ่ายค้านได้เปรียบจากโครงสร้างผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนสำหรับการเลือกตั้งปี 2566

จากข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) KS ประมาณการผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปทั้งหมดที่ 53.7 ล้านคน โดยผู้ที่มีอายุ 18-40 ปี คิดเป็น 42% (22.6 ล้านคน) อายุ 41-60 ปี คิดเป็น 37% และ 21% สำหรับอายุ 60 ปีขึ้นไป หากมองตามภูมิภาค จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็น 34% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด รองลงมาคือ จังหวัดภาคกลาง 26% จังหวัดภาคเหนือ 18% จังหวัดภาคใต้ 14% และกรุงเทพฯ 9%

หากมองตามจากการกระจายผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เรามองว่าพรรคฝ่ายค้านหลัก 2 พรรคมีความได้เปรียบเหนือพรรครัฐบาลปัจจุบัน เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุน้อยและผู้มีสิทธิเลือกตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ/ภาคเหนือ/กรุงเทพฯ มีเปอร์เซ็นต์สูง (รวม 61%)

๐ การเลือกตั้งน่าจะไม่ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อ SET Index

SET Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 3% (3 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง) สำหรับการเลือกตั้งทั่วไป 4 ครั้งล่าสุด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเลือกตั้งในปี 2548 (+14%) จากแรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย 1

KS มองว่าโครงสร้างเศรษฐกิจปี 2566 น่าจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับปี 2548 ดังนั้น upside จากการเลือกตั้งจึงค่อนข้างจำกัดและในมุมมองของ KS การเลือกตั้งน่าจะไม่ส่งผลกระทบที่สำคัญต่อตลาด อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาหารและสื่อทำผลงานได้ดีในการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา โดยดัชนี SETFOOD เพิ่มขึ้น 4-9% (3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง) และดัชนี SETMEDIA เพิ่มขึ้น 9-11% บริษัทที่ทำผลงานดีที่สุด 5 อันดับแรกในการเลือกตั้งปี 2562 ได้แก่ CBG (+65% และ 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง) DDD (+63%) SAPPE (+35%) AMANAH (+32%) และ MAJOR (+29%)