กลุ่มแบงก์เป้าซื้อต่างชาติ อัพไซด์สูง P/E แค่ 8 เท่า

HoonSmart.com>>โบรกเกอร์ส่องกลุ่มแบงก์เป็นเป้าซื้อต่างชาติ  ราคาหุ้น Laggard มีอัพไซด์ไซด์สูง เทรด P/E แค่ 8 เท่า จากปกติเทรด 14-15 เท่า  Downside ไม่มาก ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว-ดอกเบี้ยขาขึ้น-เลือกตั้ง  คาดผลงานไตรมาส 1/66 ยังเติบโต  เชื่อตั้งสำรอง NPLs จะลดลงหลังตั้งมากในปีที่ผ่านมา เชียร์”ซื้อ”BBL, KBANK, SCB, TTB  เดือนเม.ย. แบงก์ขึ้น XD แจกเงินปันผลเพียบ 

นายปรเมศร์ ทองบัว รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้ากลยุทธ์และกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ยังคงให้น้ำหนักหุ้นในกลุ่มธนาคารเป็น Outperform ซึ่งที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับตัวลงไปมากตามตลาดโดยรวม ทำให้ปัจจุบันหุ้นในกลุ่มธนาคารเทรด P/E เพียง 8 เท่า และหุ้นบางตัวก็เทรดแค่ 7 เท่า ทำให้ Downside ไม่มาก ขณะที่ยังได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)หรือแบงก์ชาติ ก็ยังมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ เนื่อง และการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ส่งผลให้เม็ดเงินสะพัดช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กได้มากขึ้น

สำหรับผลประกอบการของกลุ่มธนาคารงวดไตรมาส 1/2566 โดยรวมคาดว่าจะออกมาทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY )แต่เพิ่มขึ้นราว 27% จากไตรมาสที่ 4/2565 (QoQ) โดยธนาคารกรุงเทพ (BBL) จะมีกำไรเติบโตดีที่สุด คาดจำนวน 9,000 ล้านบาท เติบโต 27% YoY จากสินเชื่อขยายตัวดี และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง โดย NPLs ไม่เพิ่มขึ้นมากทำให้ไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองฯสูง  เนื่องจากเน้นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่อง NPLs แนะนำ”ซื้อ”ให้ราคาเป้าหมาย 171 บาท

นอกจากนี้ ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ก็คาดว่าจะกำไรจะออกมาดี  ประมาณ  4,100 ล้าบาท เติบโต 30% YoY โดยคาดว่า NPLs จะไม่เพิ่มขึ้นมาก และการตั้งสำรองฯก็ลดลง จึงแนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 1.70 บาท

ส่วนธนาคารอื่น ๆ มีแนวโน้มที่กำไรจะอ่อนตัวลง โดยธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คาดว่ากำไรจะปรับตัวลงมากสุด โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2566 จะอยู่ที่ 7,500 ล้านบาท ลดลง 30% YoY คาดว่าจะตั้งสำรองฯมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 แต่อาจตั้งสำรองลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565  เนื่องจากช่วงหลัง ๆ หนี้ NPLs ไม่ค่อยดี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็รอเศรษฐกิจฟื้น ทำให้ไตรมาส 4/65 KBANK มีการตั้งสำรองฯมาก อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น KBANK ได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว ทำให้มีความน่าสนใจในการเข้า”ซื้อ”โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 172 บาท

นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า กำไรของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 1/66 น่าจะเติบโตได้เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 แต่อาจจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 เนื่องจากปกติสินเชื่อในช่วงไตรมาส 1 จะไม่ค่อยเติบโต ขณะที่มีความกังวลหนี้ NPLs จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่กลุ่มธนาคารก็ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้น้ำหนักกลุ่มธนาคารยังเป็น Outperform  หลายตัวยังมี Upside อยู่มาก หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลงก่อนหน้านี้จากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้กังวลหนี้ NPLs จะเพิ่มขึ้น และมาตรการช่วยเหลือก็กำลังจะหมดลง ก็ต้องจับตาดูจะทำให้ NPLs เพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่า NPL เพิ่มขึ้น แต่ธนาคารตั้งสำรองฯเผื่อไว้มาก ทำให้ไม่น่ากังวล

ปัจจุบันราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารถือว่า”ถูก”เทรด P/E แค่ 8 เท่าเศษ โดยปกติจะเทรด P/E แถว 14-15 เท่า โดยหุ้น Top pick ให้หุ้น BBL ด้วยราคาเป้าหมาย 178 บาท เพราะโครงสร้างสินเชื่อ และเงินฝาก ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นมากสุด แต่ทั้งนี้หุ้นธนาคารขนาดใหญ่สามารถลงทุนได้หมด เพียงแต่คิดว่าสินเชื่อรายใหญ่จะมาก่อน และความเสี่ยงก็ต่ำด้วย ซึ่ง BBL จะเน้นสินเชื่อรายใหญ่

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัว โดยปี 2566  คาด GDP จะเติบโต 3.8% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่เติบโตราว 2.6% ดังนั้นกลุ่มธนาคารก็จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวด้วย  จะทำให้สินเชื่อเติบโตตามไปด้วย และปี 2565 mujzjko,k  ธนาคารมีการตั้งสำรองฯไปมากแล้ว ทำให้ปีนี้น่าจะตั้งสำรองฯลดลง รวมถึงได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และยังเป็นกลุ่มที่ Perform ได้ดีหลังเลือกตั้งไปแล้ว

หากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย ก็มองว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารจะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยแนะนำ”ซื้อ”หุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 187 บาท เป็นหุ้นที่ยัง Laggard มี Upside มากถึง 36% และแนะนำ”ซื้อ”หุ้น SCB ราคาเป้าหมาย 144 บาท มีอัพไซด์ 38%

ทั้งนี้ ในเดือนเม.ย.2566 แบงก์ส่วนใหญ่ขึ้นเครื่องหมาย XD แจกเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง และงวดปี 2565  ตามด้วยเดือนพ.ค.อีกไม่กี่แบงก์