HoonSmart.com>> “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” (MINT) เปิดงบปี 65 พลิกมีกำไรสุทธิ 4,286 ล้านบาท เติบโต 133% รับการท่องเที่ยวฟื้นตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ หนุนอัตราการเข้าพักโรมแรมพุ่ง ยอดขายในร้านอาหารเพิ่มขึ้น ผู้บริหารเล็งพิจารณาจ่ายเงินปันผล มุ่งหาโอกาสใหม่ๆ เร่งการเติบโต เพิ่มกำไร บล.ทรีนีตี้ แนะนำซื้อ ชี้เป้าหมาย 40.50 บาท คาดกำไรสุทธิปี 66-67 ที่ 5,524 ล้านบาท และ 6,212 ล้านบาท
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 พลิกมีกำไรสุทธิ 4,286.37 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.54 บาท จากปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 13,166.51 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 2.83 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2565 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่จำนวน 2.4 พันล้านบาท เติบโต 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 18% จากไตรมาสก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าวเป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของ MINT ในการเพิ่มรายได้ บริหารจัดการต้นทุน และเสริมสร้างประสิทธิภาพทางการดำเนินงาน โดยการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศทั่วโลกอีกครั้งและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของทั้งสามหน่วยธุรกิจของบริษัทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ธุรกิจอนันตรา เวเคชั่น คลับ และเครือร้านอาหารระดับโลกภายใต้กลุ่ม Wolseley Group ในประเทศสหราชอาณาจักร
สำหรับปี 2565 MINT มีกำไรจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท ซึ่งพลิกฟื้นจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 9.3 พันล้านบาทในปี 2564 ทั้งนี้ หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT รายงานกำไรสุทธิตามงบการเงินอยู่ที่จำนวน 1.9 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2565 และ 4.3 พันล้านบาทในปี 2565 ซึ่งพลิกฟื้นจากผลขาดทุนตามงบการเงินจำนวน 1.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2564 และ 13.2 พันล้านบาทในปี 2564
ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งเติบโต 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 25% จากไตรมาสก่อน การเดินทางเพื่อการพักผ่อนภายในประเทศและการเดินทางเพื่อธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับการเดินทางระหว่างประเทศ ช่วยเพิ่มความต้องการโดยรวมในไตรมาสดังกล่าวภายหลังจากการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทางทั่วโลก โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปและลาตินอเมริกา ประเทศมัลดีฟส์ และออสเตรเลียยังคงได้รับแรงผลักดันจากราคาค่าห้องพักที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19
ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 เป็นครั้งแรกในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาค่าห้องพัก โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในเดือนธันวาคม 2565 สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ถึง 9% จากผลการดำเนินงานที่ดีของโรงแรมในกรุงเทพฯ ในไตรมาส 4 ปี 2565 ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้เปิดโรงแรม Anantara Plaza Nice ในประเทศฝรั่งเศส และ The Plaza Doha by Anantara ในประเทศกาตาร์ และได้นำแบรนด์เอ็นเอชเข้าสู่ทวีปเอเชียด้วยการเปิดตัว NH Boat Lagoon Phuket Resort ในประเทศไทย ทั้งนี้ เมื่อนับรวมจำนวนโรงแรมที่เปิดใหม่ ไมเนอร์ โฮเทลส์จะมีโรงแรมทั้งหมดจำนวน 531 โรงแรมและ 76,996 ห้อง ครอบคลุม 56 ประเทศ ณ สิ้นปี 2565
ไมเนอร์ ฟู้ดมีผลกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 402 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2565 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน โดยจำนวนลูกค้าที่นั่งรับประทานอาหารภายในร้านที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยและออสเตรเลีย ช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของการดำเนินงานในประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19 ที่เข้มงวด เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนได้มีการฟื้นตัวของการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งเป็นรูปตัววี ภายหลังจากการยกเลิกมาตรการการปิดพื้นที่ภายในประเทศและการกลับมาเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้ง ทั้งนี้ แบรนด์หลายแบรนด์ของไมเนอร์ ฟู้ดยังคงมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยการขยายรูปแบบสาขาที่ปรับให้เหมาะสมกับแบรนด์ สถานที่ตั้ง และการเจาะกลุ่มลูกค้า
ในไตรมาส 4 ปี 2565 แดรี่ ควีนได้นำร่องในการเปิดป๊อปอัพสโตร์ในประเทศไทย ด้วยการออกแบบที่สนุกสนาน พร้อมด้วยบริการที่นั่งและเมนูพิเศษเฉพาะช่วงเวลา นอกเหนือจากรูปแบบร้านค้าแบบดั้งเดิม ซึ่งร้านดังกล่าวเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้น นอกจากนี้ เบอร์เกอร์ คิงเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “Restaurant of the Future” ในประเทศไทยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีแผนจะนำไปใช้กับร้านอื่นๆ ต่อไปเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของร้าน
นอกจากการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานแล้ว MINT ยังให้ความสำคัญกับการลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565 อีกทั้ง MINT ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานส่วนของผู้ที่หุ้นผ่านการฟื้นตัวของธุรกิจและการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ ในขณะที่จำนวนหนี้สินส่วนที่มีภาระลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่และการหมุนสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ผ่านการขายและเข้าบริหารของโรงแรม Tivoli Coimbra ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นของ MINT ในการสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ
บริษัทได้กลับมาวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวอย่างเต็มรูปแบบใหม่อีกครั้งภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 และได้ปรับแผนกลยุทธ์ดังกล่าวให้สั้นลงโดยครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2568 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายทางกลยุทธ์และทางการเงินในระดับสูง เร่งการเติบโตของธุรกิจผ่านความแข็งแกร่งของแบรนด์ การมีทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูง และพันธมิตรทางธุรกิจที่สร้างกำไร ในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและปรับโครงสร้างธุรกิจไปสู่ดิจิทัล โดยกลยุทธ์ในการผลักดันการเติบโตดังกล่าวจะถูกขับเคลื่อนโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการทรัพยากรทางการเงินอย่างรอบคอบ
บริษัทมีอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุดให้กับผู้ถือหุ้น โดยเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะประกาศเสนอจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับปี 2565 ในอัตรา 30% ของกำไรจากการดำเนินงานปี 2565 นอกจากนี้ จากสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ฟื้นตัวในทุกธุรกิจ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอีกครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่สิ้นสุดดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “ผมภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในตัวทีมงานของเราที่ร่วมกันขับเคลื่อนและส่งมอบอีกหนึ่งผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจในไตรมาส 4 ปี 2565 และเมื่อเราเข้าสู่ยุคภายหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แล้ว ผมตั้งตารออีกปีแห่งความสำเร็จในปี 2566 จากแนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ นอกเหนือจากกลยุทธ์สามปีฉบับใหม่ของบริษัทแล้ว ในปี 2566 และปีต่อๆ ไป บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การคว้าโอกาสใหม่ๆ เพื่อปลดล็อกและเร่งการเติบโตและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ในขณะที่ยังคงรักษาตำแหน่งของบริษัทในฐานะผู้นำในตลาดระดับโลก เราได้กลับมาเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง และ MINT อยู่ในฐานะที่ดีที่จะคว้าโอกาสที่น่าตื่นต้นที่รอเราอยู่ข้างหน้า”
บล.ทรีนีตี้ แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 40.50 บาท แม้ว่าไตรมาสที่ 4 ทำกำไรได้ 1,910 ล้านบาท จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ 2,090 ล้านบาทก็ตาม โดยรวมทั้งปี กำไรสุทธิ 4,286.37 ล้านบาทพลิกจากปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 13,166.51 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 2,020 ล้านบาท จากขาดทุนจากการดำเนินงานปกติที่ 9,310 ล้านบาท
“คาดว่าผลการดำเนินงานทุกกลุ่มธุรกิจจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 จากการเปิดประเทศจีน ทำให้การเดินทางคึกคัก และร้านอาหารฟื้นตัวโดดเด่นจากฐานที่ต่ำ ทำให้ยังคงคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566-2567 ที่ 5,524 ล้านบาท และ 6,212 ล้านบาทตามลำดับ ค่าไฟฟ้าผ่อนคลายลงและมีการล็อคต้นทุนไปบางส่วน เพื่อลดความผันผวนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้”บล.ทรีนีตี้ระบุ