BCP สุดยอดออลไทม์ไฮ กำไร 12,575 ล้านบ.หนุนปี’66

HoonSmart.com>>กลุ่มบริษัทบางจากเติบโตแข็งแกร่งปี 65  มุ่งสู่บทใหม่แห่งความยั่งยืนด้วย EBITDA 44,724 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จของการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้หลากหลายและสมดุล บนพื้นฐานของการให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านพลังงาน สร้างฐานมั่นคงหนุนปี66 ทะยานไปข้างหน้า  บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลอีก 1 บาท รวมทั้งปี 2.25 บาท/หุ้น 

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปี 2565 มีกำไรสุทธิ 12,575.16  ล้านบาท กำไรหุ้นละ 8.89 บาท เพิ่มขึ้น 4,951.37 ล้านบาท 65%จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 7,623.79 ล้านบาท หรือ 5.25 บาทต่อหุ้น

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทบางจากสร้างสถิติใหม่ในปี 2565 ด้วยผลการดำเนินงานสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา (ออลไทม์ไฮ)โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 312,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากปี 2564 คิดเป็น EBITDA 44,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  73% ส่งผลให้มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 12,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65 % จากปี 2564  เฉพาะไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 84,583 ล้านบาท EBITDA 6,951 ล้านบาท และกำไร 473 ล้านบาท ส่วนใหญ่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจโรงกลั่น และการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ แสดงถึงความสำเร็จจากการขยายและปรับเปลี่ยนธุรกิจให้หลากหลายและสมดุล โครงสร้างองค์กรที่คล่องตัวและการขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ

กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 17,864 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึง  91% เทียบกับปี 2564 จากความสามารถในการปรับตัว การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสร้างฐานลูกค้าใหม่ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลให้ดำเนินการกลั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรงกลั่นน้ำมันบางจากมีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ในระดับ 123,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 24% จากปี 2564 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ฟื้นตัว ขณะที่อุปทานน้ำมันตึงตัวจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ค่าการกลั่นพื้นฐานเพิ่มขึ้น 9.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก 4.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเป็น 14.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก Crack Spread ของทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี มีการรับรู้ขาดทุนจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าและกำไรจากสต๊อกลดลง เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวนปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 สำหรับธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCPT เติบโตต่อเนื่อง มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนของธุรกรรมกับคู่ค้าที่อยู่ภายนอกกลุ่มบริษัทบางจากมากขึ้น

กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ปัจจัยหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายรวมเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการบริโภคและการผลักดันด้านการตลาด อีกทั้ง การเปิดประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้นถึง 148% มีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสม อยู่ที่ 16.4%เพิ่มขึ้นจาก 16.2%ในปี 2564 (ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน) ณ สิ้นปี 2565 มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1,343 สถานี และธุรกิจ Non-Oil ร้านกาแฟอินทนิลมีสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 1,002 สาขา

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีซีพีจี(BCPG) มี EBITDA รวม 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  53%  จากการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. 2,031 ล้านบาทในไตรมาส 1/2565 ส่วนผลการดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โครงการ ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นถึง  373% เมื่อเทียบกับปีก่อน

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีบีจีไอ มี EBITDA รวม 617 ล้านบาท ลดลง 67%ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายการพิเศษในไตรมาส 3/ 2564 (กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน) ทั้งนี้ การดำเนินงานโดยปกติปรับลดลงเนื่องจากธุรกิจเอทานอลมีปริมาณขายลดลงและธุรกิจไบโอดีเซลปริมาณขายลดลงจากการที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ประกาศปรับส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B10 เป็น B5 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 17,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 114% จากปี 2564 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 ทำให้ปี 2565 กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติรับรู้ EBITDA จาก OKEA เต็มปี ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานเฉพาะของ OKEA ปี 2565 EBITDA เพิ่มขึ้น  82% จากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว และราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ส่วนปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 3 % จากการรับรู้รายได้ของแหล่ง Yme ตลอดปี 2565

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 บริษัทฯมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 84,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมี EBITDA 6,951 ล้านบาท ลดลง 39% เป็นผลจากราคาพลังงานในตลาดโลกปรับลดลง ส่งผลให้มีขาดทุนสต๊อก 4,003 ล้านบาท นอกจากนี้ธุรกิจของ OKEA ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยฤดูหนาวและระดับสต๊อกก๊าซธรรมชาติของยุโรปที่อยู่ในระดับสูง

นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่าปี 2566 เป็นอีกปีที่มีความท้าทายจากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้า แต่ผลการดำเนินงานในปี 2565 จะเป็นฐานที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทบางจากในการเดินหน้าต่อไป  และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อหุ้นและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท เอสโซ่ ประเทศไทย (ESSO) ยกระดับการดำเนินธุรกิจและความเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จากพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงของพลังงานและขยายการลงทุนไปสู่พลังงานแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน หรือธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต โดยรักษาสมดุลที่ดีระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน การเข้าถึงพลังงาน และความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “รังสรรค์โลกยั่งยืนด้วยนวัตกรรมสีเขียว” และแนวทางการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับสิ่งแวดล้อมและสังคมที่บางจากฯ ให้ความสำคัญมาตลอดเกือบ 4 ทศวรรษ ของการดำเนินธุรกิจ

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 1 บาทให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 7 มี.ค. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เม.ย. 2566  ทั้งนี้ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.25 บาทรวมทั้งปีให้ 2.25 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 6.52% เทียบกับราคาปิดที่ 34.50 บาทของวันที่ 20 ก.พ.2566