บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าโต 1.55 ล้านล้าน มุ่งสู่แบรนด์กองทุนอันดับ 1 ในใจผู้ลงทุน

HoonSmart.com>> “บลจ.กสิกรไทย” เดินเกมรุกตั้งเป้าปี 66 เติบโตแตะ 1.55 ล้านล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท พร้อมเปิด 5 ยุทธศาสตร์มุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ภายใต้แนวคิด Top of Mind Investment House ควบคู่การบูรณาการด้าน ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน แนะผ้ลูงทุนก้าวข้ามความผันผวนชวนกระจายลงทุนตามเทรนด์โลก กระจายพอร์ตลงทุนหุ้นจีน-เวียดนาม ส่วนหุ้นไทยมองกรอบดัชนี 1,600-1,800 จุด

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย (KAsset) เปิดเผยแผนกลยุทธ์ปี 2566 มุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ภายใต้แนวคิด Top of Mind Investment House ควบคู่กับการบูรณาการด้าน ESG เพื่อช่วยยกระดับตลาดทุนไทย และเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมีความมั่งคั่งจากการลงทุนในกองทุนรวม อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมายปี 2566 เติบโตไปอยู่ที่ 1.55 ล้านล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท

นายอดิศร เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ปี 2566 ของบลจ.กสิกรไทย ได้ให้ความสำคัญใน 5 ด้าน โดยเริ่มต้นจาก 1) มุ่งสร้างผลตอบแทน ด้วยการต่อยอดและพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ 2) สร้างความน่าเชื่อถือ ผ่านการให้คำแนะนำที่เหมาะสมและทันต่อเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา

3) ดูแลคู่ค้าอย่างเข้าใจ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตามโจทย์ของคู่ค้าแต่ละราย เพื่อนำไปเสนอขายให้ตรงใจผู้ลงทุน 4) บริหารพอร์ตให้กับผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และสภาพคล่องให้กับลูกค้าผู้ลงทุนสถาบัน และ 5) ตัวช่วยวางแผนเกษียณ นำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายเกษียณให้แก่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำควบคู่กับการบูรณาการด้าน ESG และครอบคลุมลูกค้าทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงตัวแทนผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของบลจ.กสิกรไทย

นายอดิศร กล่าวว่า เวลานี้เป็นจุดที่อุตสาหกรรมกำลังจะเปลี่ยนและต้องเปลี่ยน ปัจจุบันการลงทุนซับซ้อนมากขึ้นกว่า 20 ปีก่อนที่กองทุนรวมมีแต่กองทุนตราสารหนี้และกองทุนหุ้นไทย แต่ตอนนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นบนตลาดโลกมีผลกระทบต่อบ้านเรา ตลาดหุ้นจีนเปิด เศรษฐกิจจีนเปิดมีผลต่อหุ้นไทย การลงทุนในตราสารหนี้ไทย อัตราดอกเบี้ยในประเทศทั้งสิ้น วันนี้เป็นจุดที่ต้องเปลี่ยนต้องพัฒนา ต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อให้ลูกค้า ผู้ลงทุนได้รับการดูแลให้ดีขึ้นและผู้ลงทุนเองก็ต้องการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น มีเงินเก็บ เงินออมมากขึ้น ถึงวัยต้องออมเงินอย่างจริงจังมากขึ้นโดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

“ในฐานะที่เราเป็นผู้ผลิต ดุแลและจัดการเรื่องการลงทุน สิ่งที่ต้องทำอันดับแรก คือ เรื่องของ performance ผลตอบแทนต้องดีและตลอดไป เป็นตัวหลักตัวแรก อยู่ที่นี้ตรองนี้ KAsset เริ่มต้นที่ performance ถึงแม้จะดีอยู่แล้วเราก็ทิ้งมันไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ 4-5 ดาวยืนหนึ่งมาตลอดและหลายปี วันนี้ก็ต้องดูแลอย่างดี ตลาดเปลี่ยนทุกวัน สภาวะแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงสูง เราต้องยืนเป็นธงขั้นแรกที่ยึดไว้ เผลอไม่ได้เฝ้าอยู่ตลอดคือ performance และต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน””นายอดิศร กล่าว

พร้อมกับชี้ว่าปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นปีที่ผลตอบแทนแย่มาก ทุกสินทรัพย์ติดลบหมด แต่เรายังรักษาตำแหน่งเป็นเบอร์ต้นๆ ของอุตสาหกรรมได้โดยตลอด และสัญญาจะยืนอยู่ตรงนี้ให้ได้และดีขึ้นกว่านี้

ด้านนายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทยยังครองอันดับ 1 ที่มีจำนวนกองทุนรวมมากที่สุดที่ติดอันดับ 4 และ 5 ดาวของมอร์นิ่งสตาร์ เมื่อเทียบสัดส่วน AUM ณ สิ้นไตรมาส 4/65 มีสัดส่วนสูงถึง 43.77%

นายอดิศร กล่าวอีกว่า กลไกของธุกิจจัดการลงทุน มองว่าเงินของคนไทยไม่ได้เริ่มต้นและจบที่บลจ. แต่ต้องอาศัยตัวกลาง ธนาคาร บล.และบลน.ที่เขามีความใกล้ชิดกับลูกค้า มีความเข้าใจลูกค้าในความต้องการในการออมของลูกค้า เราต้องช่วยกันพัฒนาให้การนำเสนอไปในทางเข้าอกเข้าใจมากขึ้น ไม่ใช่เปิดการขายว่าตอนนี้กองทุนนี้น่าสนใจ กองนี้ซื้อได้ แต่ต้องเปลี่ยน ต้องช่วยให้คนที่ดูแลลูกค้ามีกลไกลเปลี่ยนมุมมอง เช่นถ้าลูกค้าเคยลงทุนมาแล้ว มาดูภาพรวมตลาดและที่ผ่านมาผลตอบแทนลูกค้าเป็นอย่างไร หรือถ้าจะให้ดีไปเริ่มที่ความฝันของลูกค้าก็ได้ เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน อายุ สภาวะทางสังคม ครอบครัว การออมเงินไม่เหมือนกันจะจัดพอร์ตเหมือนกันหมดไม่ได้และบลจ.ก็ดูแลไม่ไหวต้องมีตัวช่วย

“กลไกตลาดธุรกิจถึงต้องมีบลน.เกิดขึ้น มีแบงก์ที่พยายามพัฒนา เราต้องเป็นคนที่โตไปกับตัวแทน เราต้องเป็นคนที่ผลักดันให้กลไกการแนะนำการลงทุนเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่อย่างนั้นสุดท้ายลูกค้าเจ็บตัว เราก็เจ็บ ลูกค้าถอนเงินออกไปเราก็เดือดร้อน เราออยู่ไม่ได้ เราอยู่ด้วยตัวเองจะมายืนหนึ่งยึ ดperformance เป็นที่ตั้งโดยไม่สนใจเรื่องอื่นไม้ได้ ต้องโตไปอย่างยั่งยืนพร้อมๆ กับคู่ค้า พร้อมๆกับคนที่ดูแลลูกค้า”นายอดิศร กล่าว

บลจ.กสิกรไทยจึงมุ่งหวังให้บริการที่ดีและมีกลไกสนับสนุนคู่ค้า โดยปีที่ผ่านมาได้พัฒนาเครื่องมือ (Quant Tool) ช่วยให้เห็นภาพรวมภาวะเศรษฐกิจ วัฎจักรของเศรษฐกิจโลกอยู่จุดไหนและสินทรัพย์ใดให้ผลตอบแทนที่ดีเป็น Dashboard ให้ผู้ลงทุนและคู่ค้าสามารถนำไปใช้ได้และสามารถดูผลตอบแทนทุกกองทุนทั้งของบริษัทและคู่แข่งในตลาดไทย เพื่อสร้างความโปร่งใส

นอกจากนี้มีแผนนำ Discretionary Portfolio Management (DPM) ซึ่งเป็นการจัดพอร์ตตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันยังไม่ค่อยนำมาบริการให้กับกองทุนรวม แต่จะมีในธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมานำเสนอให้แก่ลูกค้าภายในปีนี้ ช่วยให้คู่ค้าสามารถแนะนำลูกค้าที่มีความต้องการคล้ายกันจัดพอร์ตเหมือนกันได้หรือลูกค้าบางกลุ่มที่เลือกพอร์ตเฉพาะเจาะจงได้

ทางด้านกลยุทธ์ที่ 4 และ 5 เป็นเรื่องของลูกค้าสถาบัน ซึ่งเงินของสถาบันในไทยมีเยอะมากบลจ.กสิกรไทยมองโอกาสการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้นและขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีที่ธนาคารกสิกรไทยมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้อยู่แล้ว พร้อมทั้งเปลี่ยนมุมมองของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการสร้างอนาคต การเกษียณให้แก่คนไทย จึงมีแอปพลิเคชั่น K-MY PVD เป็นตัวช่วยวางแผนเกษียณ ซึ่งเชื่อว่าบน 5 แกนสำคัญนี้และเสริมด้วย ESG และกลยุทธ์จะทำให้เป็น Top of Mind ในเรื่องของธุรกิจจัดการลงทุนได้

“จากกลยุทธ์ทั้ง 5 ด้านจะสะท้อนไปยัง AUM ของบลจ.กสิกรไทย เมื่อผลงานดีคนก็จะเข้ามา และที่น่าจะมีผลอย่างมากคือการจับคู่ค้าและพัฒนาการขายนอกเหนือจากธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ที่เป็นช่องทางขายหลัก ซึ่งปัจจุบันสัดส่วน 60% ของการขายกองทุนมาจากแอปพลิเคชั่น K-PLUS และ 40% มาจากสาขา หากมองในแง่ AUM ของกองทุนรวมทั้งหมด โดยสัดส่วน 80-90% มาจาก KBANK และที่เหลือมาจากบลน. ตัวแทนขายอื่นๆและแบงก์อื่น”นายอิดร กล่าว

ปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มีจำนวนผู้ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลทั้ง K-PLUS และ K-My Funds เป็นจำนวน 357,086 ราย คิดเป็นสัดส่วน 43% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ในทุกช่องทางรวมเป็นจำนวน 136,842 ราย

“การขึ้นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมไม่ได้กำหนดเวลาว่าจะต้องภายในปีไหน เราจะเป็น Top of Mind ของลูกค้า อยากให้คนเวลาคิดถึงเรื่องการลงทุน กองทุน คิดถึงเราก่อน แล้ว AUM ก็จะตามมา ขณะเดียวกันด้านโปรดักส์ก็จะพัฒนาออกมาเติมเรื่อยๆทั้งต่างประเทศและในประเทศ” นายอดิศร กล่าว

นายอดิศร กล่าวอีกว่า ในเรื่องของดิจิทัลถือว่ามีความสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าสำรองเลี้ยงชีพที่เรามี K-MY PVD บริการลูกค้า แต่ K-MyFunds ก็เป็นตัวหลักที่เราผลักดัน วันนี้การดูแลลูกค้าที่มีเงินมากๆ ในการเก็บเงินออมค่อนข้างดีในตลาดบ้านเราไม่แพ้ประเทศไหน แต่กลุ่มลูกค้าขนาดกลางและย่อยเล็กลงมาได้รับการดูแลน้อยมาก ซึ่งวันนี้ช่องทางที่ต้องมีและจะช่วยให้ดูแลลูกค้าขนาดเล็กได้ดียิ่งขึ้น คือ ช่องทางมือถือ แอปพลิเคชั่น ช่องทางดิจิทัล

“ในเครือกสิกรไทยเราเรียกกิจกรรมนี้ว่า Democratize Investment คือ การกระจายให้เกิดการเข้าถึงการบริการที่มีคุณภาพ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เอาคนตัวเล็กน้อยๆ ทีเก็บเงินออมน้อยๆ สามารถเอ็นจอยกับคำแนะนำที่มีคุณภาพ ซึ่งทำได้แม้ไม่ต้องเจอตัว เราอัพเดทให้ทุกสัปดาห ทุกเดือนมีคำแนะนำ พอร์ตที่มีขนาเล็กก็วิเคราะห์ได้แต่ต้องใช้เครื่องมือ ระบบ ซึ่งในเครือมีพร้อม วันนี้จะเอาขีดดความสามารถของกสิกรไทย (KBANK) และ KBTG มาสร้างกลไกดดูแลเรื่องเวลธ์ให้กับลูกค้า”นายอดิศร กล่าว

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 9.93 แสนล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.34 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.88 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก บลจ.กสิกรไทย ณ 31 ธ.ค. 65)

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันยังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัว ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง ในขณะที่ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังต่อสัญญาณเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงไปแล้ว ทำให้ในระยะถัดไปคาดว่าจะเริ่มเห็นโอกาสการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียนำโดยประเทศจีน ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าฝั่งสหรัฐฯและยุโรป จากปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยเปิดประเทศ การบริโภคจำนวนมหาศาล และความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี

ส่วนเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจจากระดับการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) และปัจจัยภายในประเทศทั้งการบริโภค การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ อีกทั้งในระยะยาว เวียดนามยังมีโอกาสที่จะได้รับการปรับสถานะจากตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งจะทำให้มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาได้อีกมาก

“สำหรับประเทศไทยมีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกมากขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ค.และเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ โดยมองเป้าหมายดัชนีปลายปีอยู่ที่ระดับ 1800 จุด ส่วนกรอบล่าง 1,600 จุด ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันได้สะท้อนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตที่ระดับประมาณ 2.00-2.25% แล้ว มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจและอยู่ในระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้” นายอดิศรกล่าว

อย่างไรก็ตามจากสภาวะตลาดปัจจุบันที่ยังสะท้อนความน่าสนใจของตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่เริ่มเห็นทิศทางการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก บลจ.กสิกรไทย จึงอยากแนะนำให้ผู้ลงทุนใช้หลักกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงสินทรัพย์เดียว และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยลงทุนผ่านกองทุนผสม ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายที่เน้นกระจายการลงทุน ได้แก่ K-GINCOME, K-PLAN2, K-PLAN3

สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนเป็นรายกองเพื่อเพิ่มสัดส่วนให้กับพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง ก็สามารถลงทุนในกองทุนที่สอดรับกับมุมมองข้างต้นได้เช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย กองทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ K-CHANGE, K-CHINA กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ K-STAR กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ K-SF ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนผ่านการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average : DCA) ผ่าน App K-My Funds เพื่อเป็นการฝึกวินัยทางการเงินและส่งเสริมให้เกิดความมั่งคั่งในอนาคต