HoonSmart.com>>บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU เผยยอดขายปี 65 ทำนิวไฮ 1.56 แสนล้านบาท เพิ่ม 10.3% กำไรสุทธิ 7,138 ล้านบาท ลดลง 10.9% จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 0.44 บาทต่อหุ้น รวมเงินปันผลทั้งปี 65 ที่ 0.84 บาทต่อหุ้น ชี้ยอดขายทั่วโลกโตโดดเด่นจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารทะเลบรรจุกระป๋องที่เติบโตต่อเนื่อง สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดต่ำเหลือ 0.54 เท่า ตั้งเป้ายอดขายปี 66 โต 5-6% เพิ่มงบลงทุน 6,000-6,500 ล้านบาท
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 มียอดขาย 39,613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.9% และกำไรจากการดำเนินงาน 2,384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% ขณะที่ยอดขาย เพิ่มขึ้น 10.3% อยู่ที่ 155,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรสุทธิปี 65 อยู่ที่ 7,138 ล้านบาท ลดลง 10.9% บริษัทจ่ายเงินปันผลสำหรับผลงานครึ่งปีหลังที่ 0.44 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลจากผลงานปี 65 รวม 0.84 บาทต่อหุ้น และบริษัทยังคงจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับดีต่อเนื่องอยู่ที่อัตรา 5.3%
ในปี 65 ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น 12.8% จากราคาขายที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียและสหรัฐอเมริกา ที่มีการปล่อยสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตรงใจผู้บริโภค สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงทำผลงานได้ดี ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 48.0% จากปี 64 อยู่ที่ 21,693 ล้านบาท จากความต้องการอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงและราคาขายที่เพิ่มขึ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและยอดขายที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีความผันผวน ธุรกิจหลักของเรายังคงเป็นหัวใจสำคัญ ในขณะเดียวกันเราก็ยังต่อยอดธุรกิจให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เรายังคงพัฒนาธุรกิจเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริม และโปรตีนทางเลือก ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมีบทบาทอย่างมากในยอดขายของบริษัทในปี 65 โดยมีสัดส่วนถึง 43% ของรายได้ทั้งหมด ตามมาด้วยธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นอยู่ที่ 36% ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 14% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 64 และธุรกิจเพิ่มมูลค่าและอื่นๆ อีก 7%
ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนในปีที่ผ่านมา โดย บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ITC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยถือเป็นหุ้นไอพีโอที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย และยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของ TU ให้อยู่ที่ระดับ 0.54 เท่า ณ สิ้นปี 65 เปรียบเทียบกับปี 64 ที่อยู่ในระดับ 0.99 เท่า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีธุรกิจกระจายตัวอยู่ทั่วโลก โดยสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาคมีดังนี้ สหรัฐอเมริกาและแคนาดาอยู่ที่ 44%, ยุโรป 26%, ประเทศไทย 11% และภูมิภาคอื่นๆ 19%
ในปี 65 บริษัทยังมีการขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุน 10 ล้านเหรียญแคนาดาในบริษัท มาร่า รีนิวเอเบิลส์ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากสาหร่ายที่มีการเพาะเลี้ยงขึ้นอย่างยั่งยืนของโลก
บริษัทไทยยูเนี่ยนติดอยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน และได้อันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นับเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ความยั่งยืนหรือ SeaChange® และด้วยแนวทางของบริษัทในการดูแลความเป็นอยู่ของผู้คน ไปพร้อมกับการดูแลท้องทะเลให้อุดมสมบูรณ์ ไทยยูเนี่ยนยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับองค์กรการประมงเพื่อความยั่งยืน Sustainable Fisheries Partnership (SFP) เพื่อเดินหน้าพัฒนาความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท
“ในปี 66 แม้ว่าเราจะยังคงเห็นภาวะเงินเฟ้อในทุกภูมิภาคทั่วโลกที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า การที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนวินัยทางการเงิน และการให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางธุรกิจ จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยบริษัทไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 66 อยู่ที่ระดับ 5-6% โดยประมาณ และเพิ่มงบลงทุนอยู่ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท” นายธีรพงศ์กล่าว
#TU #ITC