HoonSmart.com>> บลจ.บีแคป กางแผนธุรกิจปี 66 รุก Alternative Investment จับมือพันธมิตรหลากหลายระดับโลก ออกกอง ไพรเวท แอสเส็ท และ เฮดจ์ฟันด์เพื่อกระจายความเสี่ยงตลาดผันผวน ตั้งเป้า AUM ปีนี้แตะ 7.5 หมื่นล้าน มีแผนออกกอง เฮดจ์ฟันด์ร่วมกับพันธมิตร Pictet นำเสนอขายนักลงทุน พร้อมยกตลาดหุ้นยุโรป-ตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ รับอานิสงค์ส่งออก-ท่องเที่ยวจีนฟื้นตัว
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ 63,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่ารวม 60,557 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่ลดลง ถือว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทมีการเติบโตที่โดดเด่นกว่าตลาด
สำหรับปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมี สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 75,000 ล้านบาท โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากความร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพ ออกกองทุน การลงทุนทางเลือก(Alternative Investment) ที่มีความหลากหลาย เช่น Hedge Fund, Private Real Estate เติมเต็มโมเดลพอร์ตการลงทุนให้ครบถ้วน สำหรับลูกค้า Wealth ของธนาคารกรุงเทพ
แนวโน้มการลงทุนใน Public Market ในปี v ยังมีความผันผวนสูง บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์หันไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Private Market ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วย รวมทั้งเป็นการกระจายความเสี่ยง
ทั้งนี้ บลจ.บีแคป ประเมินว่าการลงทุนใน Public Market จะมีความผันผวนที่สูงและสร้างผลตอบแทนต่ำลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด โดยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า มองว่าการลงทุนใน Public Market มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งสภาพคล่องถูกถอนออกจากระบบ ดังนั้น ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.บีแคป แนะนำว่า ควรกระจายการลงทุนมาสู่การลงทุนทางเลือกอื่น ๆ มากขึ้น อาทิเช่นการลงทุน Private Market เช่น การปล่อยกู้ยืมนอกตลาด (Private Debt) หุ้นนอกตลาด (Private Equity) อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด (Private Real Estate) และการลงทุนใน Hedge Fund โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำเช่นพวก Multi-Strategy และ Arbitrage Strategy เป็นต้น
“บลจ.บีแคป มองว่าการลงทุนใน Private Market สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าสินทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาด แต่อาจจะมาพร้อมความเสี่ยงที่มากกว่า แต่เราสามารถจำกัดความเสี่ยงได้ โดยการอาศัยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการแสวงหาสินทรัพย์และบริษัทนอกตลาดที่จะลงทุนแทนเราได้ ซึ่งที่ผ่านมา บลจ.บีแคป มีการออกกองทุนลักษณะนี้มาบ้างแล้ว โดยร่วมกับผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคือ Pictet และ Vista Equity Partners ซึ่งได้รับการตอบที่ดีจากนักลงทุน”นางเมธ์วดี กล่าว
ด้านดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บีแคป กล่าวว่า บริษัทประเมินว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในปี 2566 จนอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และอาจจะมีบางประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ จากผลกระทบการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของ เฟด ในปี 2565 เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงสุดขึ้นในรอบ 40 ปี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ แต่ประเมินว่าภาคแรงงานที่ยังมีความแข็งแกร่งอยู่มากจะส่งผลให้ เฟด ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย 0.25 % อีก 3 ครั้ง และเงินเฟ้อปลายปีจะยังคงอยู่ในเหนือเป้าหมายที่เฟด ตั้งเป้าไว้ที่ 2% ทำให้ยังไม่เห็นนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (easing policy) หรือมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว
ผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว จะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่ราคาหุ้นได้ปรับลงมารับข่าวแล้ว จุดต่ำสุดของราคาหุ้นจึงน่าจะผ่านไปแล้ว อีกทั้งการเปิดประเทศของจีนจะมีส่วนช่วยกระตุ้น sentiment การลงทุนในระยะสั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ บลจ.บีแคป ประเมินว่าตลาดยุโรปและตลาดเกิดใหม่มีความน่าสนใจที่จะทยอยเข้าไปลงทุนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากทั้งสองภูมิภาคมีความยึดโยงกับเศรษฐกิจประเทศจีนค่อนข้างสูงทั้งในแง่การท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าสู่ประเทศจีน อีกทั้ง PE Ratio อยู่ในระดับต่ำกว่าที่อื่นๆ แม้ว่าในยุโรปอาจจะมีความเสี่ยงการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย แต่ด้วยราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงมา ก็ทำให้แรงกดดันตรงนี้ลดลงตามไปด้วย
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ โดยรวมเรายังถือกลุ่ม Defensive Factor เป็นหลัก และเริ่มมีการทยอยสะสมกลุ่ม Growth Factor เข้ามาบ้างบางส่วนโดยเฉพาะหุ้นเทคฯจีน และ เทคฯ ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนรายได้สม่ำเสมอจาก Cloud Business และ Data Center เป็นต้น