SCGP สดใสปี66 รายได้ 1.6 แสนล้าน ทุ่ม 1.8 หมื่นล้าน จัด 2 ดีล M&P

HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง-SCGP”ส่งสัญญาณบวกปี 66 คาดรายได้เพิ่มขึ้น 18% แตะ 1.6 แสนล้านบาท เทงบลงทุน 18,000 ล้านบาท ต่อยอดซื้อ-ควบรวมกิจการพันธมิตร 2 ดีล เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แผน 5 ปีใช้เงินลงทุน 1 แสนล้านบาท มั่นใจรายได้เข้าเป้า 2 แสนล้านบาทปี 68 ส่วนปี 65 กำไรร่วงแรง 30% เหลือ 5,800.61 ล้านบาท รายได้จากการขาย 146,068 ล้านบาท โต 18% โดยเฉพาะไตรมาส 4 กำไรทรุด 79%เหลือ 450 ล้านบาท กดดันหุ้น บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 0.25 บาท รวมทั้งปีให้ 0.60 บาท

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 2566 มีปัจจัยบวกกมากกว่าปัจจัยลบ คาดว่ารายได้จะเติบโต 18% มาอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท จากปีก่อน 1.46 แสนล้านบาท และใช้งบลงทุนจำนวน 18,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายกำลังการผลิต พร้อมซื้อและควบรวมกิจการกับพันธมิตร (M&P) 2 ดีล คาดว่าจะเห็นในไตรมาสที่ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ดีล

บริษัทเดินหน้าเติบโตตามแผน 5 ปี (2564-2568) มีการตั้งงบลงทุนไว้ 1 แสนล้านบาทเพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ 200,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ใช้เงินลงทุนแล้วประมาณ 37,000 ล้านบาท มีการซื้อและควบรวมกิจการกับพันธมิตร (M&P) ปีละ 2 ดีล ในปีนี้ก็พยายามรักษา 2 ดีล  ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่ 22,000 ล้านบาทที่เวียดนามล่าช้าไป  ทั้งนี้บริษัทขยายธุรกิจจาก 5 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1.ลุย M&P อย่างต่อเนื่อง2.พัฒนานวัตกรรม 3.ยกระดับ Supply chain 4.บริหารความเสี่ยง และ5.ขับเคลื่อน ESG

ไตรมาสแรกของปี 2566 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จีนเปิดประเทศเริ่มมีออเดอร์เข้ามาแล้ว โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว  ราคาขายขยับขึ้น ขณะที่ราคาเศษกระดาษและค่าขนส่งลดลง เรื่องต้นทุน สามารถควบคุมได้หมด คงมาร์จิ้นไว้ ปรับราคาตามต้นทุน แต่ค่าพลังงานและเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาที่เจอคือดีมานด์ ทำให้การฟื้นตัวยังไม่เห็นชัดเจน จะต้องรอครึ่งปีหลัง ส่วนเป้าหมายยอดขาย 2 แสนล้านบาทมั่นใจว่าจะไปถึงได้ใน 3 ปีข้างหน้า โดยเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีอยู่  และต่อยอดร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคทั้งในประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศไทย รวมถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ และประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 มีกำไรสุทธิ 5,800.61 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 1.35 บาท ลดลงประมาณ 30% เทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 8,294.37 ล้านบาทหรือ 1.93 บาทต่อหุ้น รายได้จากการขาย 146,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  18% โดยมี EBITDA เท่ากับ 19,402 ล้านบาท ลดลง 8% และ EBITDA margin ที่ 13% และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 4% มาจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และการหดตัวของปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ท่ามกลางอุปสงค์ที่ลดลงทั่วโลก และมรไตรมาสที่ 4   มีรายการพิเศษรับรู้รายได้จากการปรับประมาณการเงินค่าหุ้นที่คาดว่าจะต้องจ่าย (Earn-Out) ของ Go-Pak

“ไตรมาสที่ 4 มีกำไรสุทธิ 450 ล้านบาท ลดลง  79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้จากการขาย 33,509 ล้านบาท ลดลง 5 %  EBITDA อยู่ที่ 3,554 ล้านบาท ลดลง 34%  เนื่องจากความต้องการและราคาขายบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคปรับตัวลดลง โดยเฉพาะราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม แต่ความต้องการสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ยังเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการทยอยเปิดประเทศ”

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 0.35 บาทให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 5 เม.ย.2566 และขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 4 เม.ย.2566 กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เม.ย.2566 ทั้งนี้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 0.25 บาท รวมทั้งปีจ่ายหุ้นละ 0.60 บาท ส่วนราคาหุ้นปิดที่ 53.50  บาท ลดลง 1.75 บาทหรือ -3.17%