บล.กสิกรฯ ชี้โอกาสดี-เก็บหุ้นแบงก์ แนะ TTB-KTB ยังโดดเด่น

HoonSmart.com>> บล.กสิกรไทย ชี้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กำไรไตรมาส 4/65 น่าผิดหวัง แต่TTB, KTB, TISCO และ BBL อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ผลงาน SCB และ KKP ส่อแววคุณภาพสินทรัพย์มีปัญหามากขึ้น คงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม การเทขาย  มองเป็นโอกาสในการสะสม แนะหุ้นเด่น TTB และ KTB

บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/65 โดยรวมต่ำกว่าคาด จากผลขาดทุนจากการลงทุน และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss หรือ ECL) กำไรรวมไตรมาส 4/65 ของธนาคารทั้ง 7 แห่งภายใต้การวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัยอยู่ที่ 3.73 หมื่นล้านบาท ลดลง 11% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 16% YoY

กำไรของกลุ่มธนาคารต่ำกว่าที่บล.กสิกรไทยและตลาดคาดการณ์ไว้ 17% และ 12% ตามลำดับ เนื่องจาก 1) ผลขาดทุนจาก mark-to-market ของพอร์ตการลงทุนของ BBL และ SCB และ 2) ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือ ECL ของธนาคารส่วนใหญ่ที่สูงกว่าคาด

ธนาคารส่วนใหญ่รายงานรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ที่แข็งแกร่งขึ้นจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานที่เพิ่มขึ้น 2 ครั้งในไตรมาส 4/65 ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ยังคงเดิม ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenditures หรือ OPEX) และอัตราส่วนต้นทุน/รายได้สูงขึ้นในไตรมาส 4/65 จากผลกระทบตามฤดูกาล

สินเชื่อรวมในไตรมาส 4/65 ลดลงเล็กน้อย QoQ จากการชำระคืนหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหลัก สินเชื่อรายย่อยไตรมาส 4/65 เติบโตดีขึ้น ทำให้กำไรรวมของกลุ่มธนาคารปี 65 อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YoY

บล.กสิกรไทยชอบผลประกอบการไตรมาส 4/65 ของ TTB, KTB, TISCO และ BBL แม้กำไรของ TISCO และ BBL ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก TISCO ตั้งใจที่จะตั้งสำรองสูงขึ้น ขณะที่กำไรของ BBL ถูกกดดันจากรายการที่ไม่ได้มาจากธุรกิจหลักอย่างผลขาดทุนจากพอร์ตการลงทุน เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4/65 ของหุ้นทั้ง 4 ตัวนี้ดูดี เนื่องจากแสดงถึง NII ที่แข็งแกร่งขึ้น NIM ที่ดีขึ้น OPEX ที่มีการควบคุมอย่างดี และคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับดีขึ้นพร้อมกับปริมาณการก่อตัวของ NPL ใหม่ในระดับที่ยอมรับได้ในไตรมาส 4/65

ในทางตรงกันข้าม มองว่าผลประกอบการไตรมาส 4/65 ของ SCB และ KKP ดูค่อนข้างอ่อนแอ แม้ว่า SCB จะสามารถปรับปรุง NIM และ NII ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมในไตรมาส 4/65 และอัตราส่วน NPL เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เรามองว่าการก่อตัวใหม่ของ NPL สำหรับ SCB เพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4/65 และจะเป็นสัญญาณลบสำหรับการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ในปี 66

กำไรของ KKP พลาดประมาณการอย่างมาก เนื่องจากการตั้งสำรองจำนวน 700 ล้านบาท สำหรับผลขาดทุนจากธุรกรรมการซื้อขายเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 65 แต่กำไรปกติเป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตาม มองว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ KKP ที่อ่อนตัวลงในไตรมาส 4/65 และผลขาดทุนจากรถที่ยึดมาจากลูกหนี้ยังคงเพิ่มขึ้น QoQ ซึ่งยังคงเป็นความกังวลในปี 66 ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงอัตราสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) ในระดับสูง เนื่องจากความไม่แน่นอนในภาคการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากการเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในปี 66

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะเป็นปัจจัยหนุนในครึ่งแรกของปี 66 บล.กสิกรไทยคาดว่าปัจจัยหนุนของกลุ่มธนาคารในครึ่งแรกของปี 2566 ได้แก่
1) การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ดูเหมือนจะมีความสบายใจมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
2) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเพิ่มขึ้นภายใต้การปรับโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จโครงการภายใต้ ธปท.

ฝ่ายวิจัยเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ 3 ครั้ง และเป้าการเติบโตของสินเชื่อของผู้บริหารอยู่ที่ >5% จาก SCB และ TISCO ดูเหมือนจะดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยประมาณการล่าสุดที่ 3% ขณะที่ธนาคารส่วนใหญ่คาดว่า NIM จะปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 66 มีเพียง TISCO เท่านั้นที่จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก NIM ในปี 66 จากโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงอย่างสินเชื่อเช่าซื้อ

บล.กสิกรไทยคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคาร โดยการเทขายล่าสุดของหุ้นในกลุ่มเกิดจากความเชื่อมั่นเชิงลบต่อการตั้งสำรองสูงในระยะสั้น ขณะที่เราเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ และ NIM ในปี 66 หุ้นเด่นยังคงเป็น TTB และ KTB

สำหรับหุ้น KBANK บล.ฟิลลิป ระบุว่า KBANK กำไรต่ำกว่าคาดมาก ถึงแม้ว่าการตั้งสำรองในไตรมาส 4/65 จะสูงมาก แต่ยังมีแนวโน้มที่การตั้งสำรองจะยังคงสูงต่อเนื่องอีกในปี 66 ทำให้ทางฝ่ายปรับลดประมาณการกำไรปี 66 ลงเหลือ 37 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% YoY แต่ปรับลดจากประมาณการเดิมที่ 43 พันลบ. ปรับลดราคาพื้นฐานลงเหลือ 162 แนะนำ “ซื้อ”

บล.หยวนต้าระบุว่า สำหรับมุมมองต่อแนวโน้มผลดำเนินงานปี 2566 คาดจะเห็นการฟื้นตัว หลังผ่านการตั้งสำรองจำนวนมากไปแล้วในไตรมาส 4/65 ขณะที่มีแรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่คาดปรับขึ้นได้ดี จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ต่อเนื่องมาจากครึ่งหลังปี 65 ประกอบกับ KBANK มีแผนเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อ High Yield มากขึ้น โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อผ่าน Digital Platform ของทั้ง KPLUS และผ่านช่องทางพันธมิตรอย่าง LINEBK และ Shopee ซึ่งเน้นลูกค้ารายย่อยและกลุ่ม SSME เป็นหลักส่วนอัตราโตของสินเชื่อคาดขยายตัวขึ้น ตามเศรษฐกิจในประเทศที่ได้อานิสงส์บวกจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศที่คึกคักขึ้นมาก คาด KBANK จะมีกำไรสุทธิในปี 66 จำนวน 48,187 ล้านบาท โต 34.7%YoY

ช่วงสั้นเราคาดตลาดจะตอบรับเชิงลบกับผลประกอบการของ KBANK ที่ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดไว้มาก หลังบริษัทยกระดับ Coverage Ratio ขึ้นเป็น 143.1% ขณะที่ตัวเลข NPL และลูกหนี้ Stage 2 ไม่ได้ปรับขึ้นมาก สะท้อนความระมัดะวังของบริษัทที่เพิ่มขึ้น คาดบริษัทต้องการที่จะเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปรับขั้นลูกหนี้ในปี 66 ซึ่งจะมีการทำ Policy Normalization ก่อนที่มาตรการผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ของ ธปท. จะสิ้นสุดในสิ้นปี 66 นี้

บล.หยวนต้ายังคงแนะนำ “ซื้อ” KBANK โดยมองผลดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 66 ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 21.4% จากมูลค่าพื้นฐานปี 66 ที่ 187 บาท (อิง Prospective PBV ที่ 0.6 เท่า) พร้อมคาดมีปันผลจากกำไรครึ่งปีหลัง 65 อีกหุ้นละ 3.50 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล 2.3%

สำหรับมุมมองต่อหุ้น KTB บล.หยวนต้า ระบุว่าแม้มีความน่าสนใจจากพัฒนาการใหม่ ๆ บนช่องทาง Digital Platform และเป็นธนาคารใหญ่ที่พอร์ตสินเชื่อมีความแข็งแรง ทั้งในแง่กลุ่มลูกค้าความเสี่ยงต่ำ และระดับ Coverage Ratio ที่สูงกว่าในอดีต อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 22.8% จากมูลค่าพื้นฐานเดิมปี 66 ที่ 21 บาท (อิง Prospective PBV ที่ 0.7 เท่า) และคาดมีปันผลจ่ายอีกหุ้นละ 0.72 บาท คิดเป็น Div. Yield 4.2% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) บล.หยวนต้าคงคำแนะนำ “ซื้อ”

บล.พาย ระบุว่า คาด KTB มีกำไรสุทธิโต 9% ในปี 66-67 หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่งไปแล้ว 56% ในปี 65 โดยจะมีแรงหนุนจาก NII และรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น  คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 20.80 บาท จาก 1) งบดุลที่ยืดหยุ่นดี ด้วยคุณภาพสินเชื่อที่แข็งแกร่ง  2) การเติบโตที่มั่นคงในปี 66-67  3)NIM ที่ขยายตัวจากดอกเบี้ยขาขึ้น และ 4) รายได้ที่อาจมาจากบริการดิจิทัลแบงก์กิ้ง  ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานเป็น 20.80 บาท จาก 20.20 บาท เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไร มูลค่าพื้นฐานนี้คำนวณด้วยวิธี Gordon growth model (ROE 9.5%, อัตราการเติบโต 2%) อิง P/BV 0.7 เท่า

สำหรับหุ้น TTB บล.ฟิลลิป คงราคาพื้นฐานไว้ที่ 1.50 บาท แนะนำ “ทยอยซื้อ”  ส่วน บล.โนมูระพัฒนสิน ระบุว่า กำไรไตรมาส 4/65 ออกมาดีกว่าคาด และถึงแม้ว่าสินเชื่อจะหดตัวลง แต่ก็ทำให้ระดับ NPL ยังทรงตัวอยู่ได้ พร้อมกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวดีขึ้น ยังคงประมาณการกำไร และยังคงราคาพื้นฐานไว้ที่ 1.50 บาท แนะนำ “ทยอยซื้อ”

 

#TTB #KTB #SCB #KKP #TISCO #BBL #KBANK #บล.กสิกรไทย #บล.ฟิลลิป #บล.หยวนต้า