“คิงส์ฟอร์ด” แนะ MINT-HTC

HoonSmart.com>> “บล.คิงส์ฟอร์ด” คาดแนวโน้มดัชนีปรับตัวลง แนวรับ 1,675 – 1,680 จุด ด้านแบงก์ทยอยแจ้งงบ KBANK รายงานกำไร Q4/65 ต่ำกว่าคาด กำไรแบงก์อื่น ๆ ต่ำคาดจากสำรองเพิ่มขึ้น โดยเม็ดเงินอาจสลับเข้ากลุ่มพลังงาน แนะหุ้น MINT-HTC

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด มองแนวโน้มดัชนี SET วันนี้คาดปรับลดลง หลัง KBANK รายงานกำไร Q4/65 ต่ำกว่าคาด และกำไรแบงก์อื่น ๆ ต่ำคาดจากสำรองเพิ่มขึ้น โดยเม็ดเงินอาจสลับเข้ากลุ่มพลังงาน วางแนวรับดัชนีที่ 1,675 – 1,680 จุด แนวต้าน 1,690 – 1,695 จุด แนะนำซื้อ TOP, BGRIM, ADVANC, ILM, SGC

ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -0.76%, S&P500 -0.76%, Nasdaq -0.96% กลุ่มอุตสาหกรรม -2.08% นำโดยโบอิ้ง, 3M, แคทเธอร์ พิลลาร์, พลังงาน +1.11% ปรับขึ้นตาม WTI ส่วนรายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 15,000 อยู่ที่ 190,000 ราย ต่ำกว่าคาด 214,000 ราย สะท้อนตลาดแรงงานสหรัฐแข็งแกร่ง ส่งผลให้กังวลเฟดยังต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย

ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -1.55% กลุ่มเทคโนโนลยี -2.9%, ค้าปลีก, อุตสาหกรรม, เหมืองแร่ และกลุ่มน้ำมันปรับลดลงมากกว่า 2 %

หุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ MINT (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 36.25 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q65 ที่ 4.6 พันล้านบาท ดีขึ้น QoQ และพลิกกำไร YoY หนุนจากรายได้กลุ่มโรงแรมที่ปรับตัวสูงขึ้นตาม RevPar ในภูมิภาคยุโรป ลาตินอเมริกา และไทย ส่วนกลุ่มร้านอาหารปรับตัวดีขึ้นเช่นกันหลังผ่อนคลาย Lockdown และการเพิ่มสาขาใหม่

ส่วนแนวโน้ม 4Q65 กำไรปกติดีต่อเนื่องเพราะเข้าช่วง High Season ของการท่องเที่ยวไทย และ Maldives ขณะที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และ Utility Cost ในยุโรปเริ่มลดลงตามราคาพลังงาน

ส่วนปี 66 ตลาดคาดกำไรประมาณ 5 พันล้านบาท ฟื้นตัว +255%YoY โดยโรงแรมในยุโรปมีทิศทางเป็นบวกแม้ช่วง 1H จะเป็น Low Season แต่มีปัจจัยหนุนจากสภาพอากาศที่หนาวน้อยกว่าคาด รวมถึงจะได้ Demand ของลูกค้าภาคธุรกิจ ขณะที่โรงแรมในไทย และ Maldives รับอานิสงส์นักท่องเที่ยวไหลเข้าไทยและการเปิดประเทศของจีนช่วยหนุนให้ RevPar และ Occ.Rate ปรับตัวดีขึ้น

หุ้น HTC (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 37.50 บาท) ประเมินภาพการดำเนินงานในปี66 จะสามารถฟื้นตัวได้ดีโดยในฝั่งของรายได้มีแรงหนุนจาก Covid-19 คลี่คลาย การกลับมาของนักท่องเที่ยว การปรับราคาสินค้าขึ้น และ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (ต.ค65)

นอกจากนี้ทางบริษัทเองยังจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50%(จาก 58 MPC/ปี เป็น 91 MPC/ปี) ด้านฝั่งมาร์จิ้น คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนที่ผ่อนคลายขึ้น ทั้งต้นทุนเชื้อเพลิง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 จะอ่อนตัวจากปี 64 ที่ 2.66 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 2.27 บาท/หุ้น, แต่ EPS จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีในปี66 ที่ 2.74 บาท/หุ้น ตามลำดับ