“เจ.พี.มอร์แกน” เพิ่มน้ำหนัก “หุ้นไทย” มองเป้าดัชนี 1,800 จุด

HoonSmart.com>> “เจ. พี. มอร์แกน” ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็น “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” จาก “คงน้ำหนักการลงทุน” ให้เป้าดัชนี 1,800 จุด รับแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีน ส่งผลบวกต่อบรรยากาศทางธุรกิจในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ชดเชยผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ด้านเงินเฟ้อชะลอลง ค่าเงินบาทแข็งและเลือกตั้งหนุน ชี้ก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม และพาณิชย์” แนวโน้มสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดรวม

นายอาจดนัย มาร์โค สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทยของ เจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า การเปิดประเทศที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ของประเทศจีนเป็นปัจจัยเร่งสำคัญสำหรับสถานการณ์ขาขึ้นของตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาทั้งสิ้น 26 ล้านคน ซึ่งอยู่ในระดับ 65% ของปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวจีนจำนวน 11 ล้านคนและสูงกว่าที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ที่ 25 ล้านคน  จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นมูลค่า 39,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ สูงขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2565 คิดเป็นสัดส่วน 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี)

นายจักรพันธ์ พรพรรณรัตน์ หัวหน้าสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย)   กล่าวว่า นอกจากนี้ โครงการ “ช้อปดีมีคืน” ซึ่งเป็นโครงการคืนภาษีล่าสุดของรัฐบาล โดยเปิดให้ผู้บริโภคสามารถลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการระหว่างวันที่ 1 ม.ค.- 15 ก.พ. 2566 จะช่วยเสริมการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศระยะสั้น ทั้งนี้การใช้จ่ายของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งในขณะนี้ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมาก

เจ. พี. มอร์แกน มีเป้าหมายพื้นฐานที่ 590 สำหรับดัชนี MSCI Thailand และ 1,800 สำหรับดัชนี SETในปี 2566 โดยปรับมุมมองให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต สินค้าฟุ่มเฟือย และการดูแลรักษาสุขภาพ โด เชื่อว่าการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนน่าจะกลับมาในครึ่งปีแรก

นอกจากอานิสงส์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนแล้ว เจ. พี. มอร์แกน คาดว่าปัจจัยที่จะช่วยเสริมตลาดหุ้นในปีนี้ ได้แก่เงินเฟ้อที่ชะลอลงจากราคาพลังงานที่ลดลง และการเติบโตของค่าจ้างที่ไม่สูงมากจนเกินไป  ส่งให้กำไรของธุรกิจไทยปรับดีขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.75% มาอยู่ที่ 1.25% ตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 เพื่อสกัดการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ และเจ. พี. มอร์แกน คาดว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% อีกสองครั้งในไตรมาสแรกปี 2566 จนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ 1.75% ทำให้เงินเฟ้อเริ่มชะลอลง และคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 3.3% ภายในสิ้นปี 2566 จาก 6.3% ในปี 2565

นายอาจดนัย กล่าวว่า ต้นทุนด้านราคาที่ต่ำลง จะส่งผลบวกอย่างยิ่งแก่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจด้านสาธารณูปโภค ซึ่งมีหนทางจำกัดในการหลีกเลี่ยงผลกระทบของภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2565

ในขณะเดียวกัน การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาท ซึ่งได้รับแรงหนุนจากรายรับของการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นและราคาขนส่งสินค้าที่ลดลง ช่วยให้บัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยอยู่ในลักษณะเกินดุลในปีที่แล้วนั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในปีนี้

ด้านนายจักรพันธ์ กล่าวเพิ่มว่า ค่าเงินที่แข็งขึ้นน่าจะเพิ่มผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในหุ้น

นอกจากนั้น เจ. พี. มอร์แกน มองว่าการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพ.ค.นี้น่าจะสร้างแรงหนุนในระยะสั้นแก่ตลาดหุ้น จากการวิเคราะห์ในอดีต ค่ากลางผลตอบแทนของหุ้นในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง 12 ครั้งที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 5% โดยหมวดอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม และการพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้เหนือตลาดรวม อย่างไรก็ดีผลบวกนี้น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในระยะปานกลาง