HoonSmart.com>>บล.ทรีนีตี้ชี้ตลาดหุ้นไทยปี 66 ครึ่งปีแรกจะดีกว่าครึ่งปีหลัง เหตุเงินทุนไหลเข้าตลาดทุน ขณะที่ช่วงกลางปีถึงปลายปีมีความเสี่ยงเงินทุนไหลย้อนกลับไปลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทยทั้งปีจะแกว่งตัวในช่วง 1,500-1,760 จุด ชี้ไตรมาสแรกหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้น 6 กลุ่ม คือ ธนาคาร, ค้าปลีก, โรงไฟฟ้า, Infrastructure Fund, Industrial Estate และโทรคมนาคม หุ้นเด่น PRM, EGCO, GPSC, TFFIF, BBL, และ BABA80
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ในปี 66 ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนได้รับแรงกระแทกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วในปี 65 โดยขึ้นดอกเบี้ยรวมกว่า 4% เพื่อที่ลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นในระดับ 8 – 9% ในปี 65 หรือที่เราเรียกว่า Over-Tightening เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 23 และ Fed ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจ มองว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯจะแตะระดับ 2% ใน 2 ปีข้างหน้า มองค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลง และจะไม่กลับไปแข็งค่าอีกในระยะสั้น
“ผลจากการที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยแรง และเร็วจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะติดลบ 0.1% ในไตรมาส 2 ปีนี้ และอาจจะลากยาวถึงติดลบ 2.3% ในไตรมาส 1 ปี 67 ขณะที่เศรษฐกิจ Euro Zone อาจจะติดลบ 0.4% ในไตรมาส 4 ของปี 65 และติดลบอีก 0.4% ในไตรมาส 1 ของปีนี้ ก่อนที่ฟื้นตัวบวก 0.2% ในไตรมาส 2 ส่วนเศรษฐกิจจีนมองการฟื้นตัวอยู่ที่ระดับ 4 – 5% และอาจจะฟื้นตัวแตะระดับ 6.8% ในไตรมาส 2 ของปี 67 จึงมองการ Overweight ตลาดหุ้นจีนยังได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่ซ่อนอยู่ (Pent-up Demand) และเงินออมที่เก็บไว้ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตลอดจนการที่กองทุนระดับโลกยังคง underweight หุ้นจีน 3 – 5%”
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า การตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงกลางปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และจะมีผลต่อทิศทางตลาดทุนทั่วโลก โดยคาดการณ์ไว้ 3 กรณี ได้แก่
กรณีที่ 1: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วหยุดทั้งปี มองมีโอกาสเกิดขึ้น 35 – 40% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะ Sideway up แต่ฟันด์โฟล์วจะเคลื่อนย้ายมาสู่เอเชียเหนือ(จีน, ไต้หวัน, เกาหลีใต้))มากขึ้น (กรณีฐาน)
กรณีที่ 2: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วปรับลดลงกว่า 1 – 1.5% ในไตรมาส 4 มองมีโอกาสเกิดขึ้น 30 – 35% ผลคือ ตลาดหุ้นใน Emerging Market จะ outperform
กรณีที่ 3: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% ในไตรมาส 1 และหยุด และปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในช่วงปลายปีสู่ระดับ 6.5% (ขึ้นอยู่กับตัวเลขเงินเฟ้อที่จะออกมาในไตรมาส 2-3 )มองมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ 20% ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับฐาน (สถานการณ์ที่เลวร้ายสุด)
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ขณะที่จีนได้ประกาศเปิดประเทศ จะส่งผลให้ Fund Flow ไหลออกจากสหรัฐฯ และเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อเนื่องจากปี 65 เห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นใน ASEAN 6 ประเทศ กว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็น Fund Flow ที่สูงสุดในประวัติศาสตร์
ขณะที่ประเทศไทยพบว่ามี Fund Flow จากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้ MSCI ของ ASEAN ถูก overweight สูงกว่า Benchmark กว่า 1.6% และเงินยังไหลเข้าต่อเนื่อง ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 66 ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิกว่า 7.8 พันล้านบาทในตลาดหุ้นไทย และ 4.2 หมื่นล้านบาท ในตลาดพันธบัตรระยะสั้นไทย
ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นเงินไหลไปลงทุนประเทศในเอเชียเหนือ เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน มากขึ้น และจะทำให้กลุ่ม Tech ในจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ outperform ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อฟันด์โฟล์วไหลออกจากตลาดหุ้น ASEAN รวมถึงหุ้นไทย
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 66 มีทั้งปัจจัยบวก และลบที่มีผลต่อการลงทุน และมองว่าดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งตัวในช่วง 300 จุด อยู่ระหว่าง 1,500-1,760 จุด (13 เท่าของกำไรต่อหุ้น 117 บาท และ 15 เท่า ของกำไรต่อหุ้น 117 บาท ในปี 67 ตามลำดับ)
ในช่วงไตรมาส 1 จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด แนะนำการลงทุนเป็น Sector Rotation โดยให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) ไปยังกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่ม Infrastructure Fund กลุ่ม Industrial Estate และกลุ่มโทรคมนาคม แต่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) กลุ่มพลังงาน หุ้นเด่นที่แนะนำ ได้แก่ PRM, EGCO, GPSC, TFFIF, BBL, และ BABA80
“ช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 66 ตลาดหุ้น ASEAN และ SET Index จะ Outperform ตลาดหุ้นโลก เพราะตลาดหุ้น ASEAN ได้ผลประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง เงินเฟ้อที่ลดลง แต่คาดว่านับตั้งแต่ไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในไตรมาส 4 นักลงทุนต่างประเทศเริ่มหาจังหวะที่จะลดการลงทุนหุ้น ใน ASEAN อาจขายหุ้นประมาณหนึ่งส่วนสามของ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ซื้อมาในปี 65 หรือ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อคงน้ำหนักลงทุนให้เท่า Benchmark MSCI Emerging Market “
การจัด Asset Allocation ปี 66 ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Global Fixed Income 25 – 30%, หุ้นใน Emerging Market (เน้นน้ำหนักหุ้นจีน และเวียดนาม) 20 – 25%, หุ้นไทย 10 – 15%, ทองคำ 5 – 10%, หุ้นยุโรปและหุ้นญี่ปุ่น 5% และเงินสด 25 – 30%
“ปี 66 เป็นปีที่มีความผันผวนอย่างมาก มีทั้งปัจจัยที่เป็นบวก และลบผสมกันอย่างมาก เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็วขึ้น Fed มีโอกาสกลับทิศจากการขึ้นดอกเบี้ยต้นปี ไปเป็นลดดอกเบี้ยแทน และอาจจะลดกว่า 1.75% ในปลายปี 66 หรือการลดดอกเบี้ยของ Fed จะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดในไตรมาส 1 ปี 67 หรือเรียกว่า Fed Pivot (จุดกลับตัว) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วช่วงที่ Fed หยุดการขึ้นดอกเบี้ย กลยุทธ์ลงทุน แนะนำให้ Overweight ในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ มองค่าเงิน Yen แข็งค่าขึ้นขณะที่ราคาทองคำในรูปเงินดอลลาร์มีโอกาสขยับค่าขึ้น”
ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่าในส่วน กนง.ของไทย อาจจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% อีก 2 ครั้ง ในวันที่ 25 มกราคม และ 29 มีนาคม แล้วจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
#บล.ทรีนีตี้ #แนวโน้มตลาดหุ้นปี66