HoonSmart.com>>ทริสฯยกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้ม” ลบ” ที่ให้กับ “สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น”ตั้งแต่ 30 พ.ค. 65 หลังล้มดีลซื้อกิจการ LEONI ยืนยันอันดับเครดิตที่ BBB+ สะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ความสามารถทำกำไรที่ดีขึ้น มอง 2-3 ปีข้างหน้าได้ประโยชน์จากอุปสงค์สายไฟฟ้าที่ยังแข็งแกร่งในไทย-เวียดนาม คาดปี 65-67 รายได้ 2.8-3.1 หมื่นล้านบาทต่อปี EBITDA Margin 15%-18% EBITDA ที่ประมาณ 4.5-5.8 พันล้านบาทต่อปี เริ่มจ่ายปันผลปี 66 อัตรา 50% ของกำไรสุทธิ
บริษัททริสเรทติ้ง ยกเลิกเครดิตพินิจ (Credit Alert) แนวโน้ม ” ลบ” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2565 หลังยกเลิกซื้อกิจการธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ของ LEONI พร้อมยืนยันอันดับเครดิตองค์กร ที่ระดับ BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่ ”
อันดับเครดิตที่ระดับ BBB+ ยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำของบริษัทในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนชื่อเสียงที่แข็งแกร่ง และประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานของบริษัทลูกคือ บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น จากกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยง ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ก่อนหน้านี้ทริสให้เครดิตพินิจแนวโน้ม ” ลบ” กับบริษัท สตาร์คฯเป็นผลจากการที่บริษัทประกาศที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดของ LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc. จาก LEONI AG ที่มูลค่าไม่เกิน 560 ล้านยูโร (หรือประมาณ 2.06 หมื่นล้านบาท) สร้างความกังวลว่าจะทำให้บริษัทมีภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากธุรกรรมดังกล่าวจะใช้เงินกู้ในสัดส่วนสูงถึง 75%
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2565 บริษัทได้ประกาศยกเลิกการลงทุนดังกล่าว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในทางลบหลายประการ รวมถึงข้อมูลใหม่ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทเป้าหมาย ทั้งนี้ เงินเพิ่มทุนก้อนใหม่สำหรับการซื้อธุรกิจดังกล่าวจำนวน 5,580 ล้านบาทนั้นบริษัทน่าจะนำไปใช้ในการลงทุนด้านอื่น ๆ โดยขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของผู้ถือหุ้น
ปัจจุบันธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าของบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ใน 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ในเดือนก.ย. 2565 กำลังการผลิตสายไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 222,600 ตันต่อปี มาจากประเทศไทย 85,600 ตันและในประเทศเวียดนามที่ 137,000 ตัน ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในประเทศไทยสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% และส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโลจิสติกส์
อันดับเครดิตของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากชื่อเสียงและความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตสายไฟฟ้าของบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ เป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าอันดับหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตที่ตกทอดมาจากเจ้าของเดิมซึ่งได้แก่ Phelps Dodge Corporation และ General Cable ความสามารถในการแข่งขัน สะท้อนถึงแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง ประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานในประเทศไทยมากกว่า 50 ปี และการมีสินค้าที่หลากหลาย โดยบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ เป็นผู้ผลิตภายในประเทศเพียงรายเดียวที่สามารถผลิตสายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษซึ่งมีแรงดันมากกว่า 230 กิโลโวลต์ได้
ธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าในประเทศเวียดนาม ดำเนินการโดยบริษัทลูกคือ Thipha Cables (TPC) และ Dong Viet Non-Ferrous Metal and Plastic (DVN) โดย TPC นั้นเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่ ส่วน DVN เป็นผู้ผลิตสายทองแดงและอลูมิเนียมในประเทศเวียดนาม หลังจากที่บริษัทได้ซื้อกิจการของบริษัททั้ง 2 แห่งในไตรมาสแรกของปี 2563 ประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงานของ TPC & DVN ก็ปรับตัวดีขึ้นอันเป็นผลมาจากการนำแนวปฏิบัติที่ดีและความรู้ด้านการผลิตของบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ มาใช้
ทริสฯมองว่ากลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสายไฟฟ้าแรงดันปานกลางจนถึงแรงดันสูงเป็นพิเศษนั้นมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ซึ่งไม่รวมผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเป็น 19.8% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 17.5% ในปี 2564 และ 14.5% ในปี 2563
บริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ มีผลิตภัณฑ์สายเคเบิลซึ่งมีอัตรากำไรสูงที่หลากหลายตั้งแต่สายไฟแรงดันปานกลางไปจนถึงสายไฟแรงดันสูงเป็นพิเศษและสายเคเบิลชนิดพิเศษ ซึ่งรายได้จากกลุ่มสินค้าเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 61% ของรายได้รวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จาก 51% ในปี 2564 และ 44% ในปี 2563 ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเฟ้ลปส์ ดอด์จฯ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีแนวโน้มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตสายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษและจะออกผลิตภัณฑ์สายเคเบิลชนิดพิเศษใหม่ ๆ ให้มากยิ่งขึ้น
ในประเทศเวียดนามนั้นรายได้จากสายไฟฟ้าแรงดันต่ำยังคงเป็นสัดส่วนหลักซึ่งคิดเป็น 75% ของยอดขายสายไฟฟ้าทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ทั้งนี้ บริษัทอยู่ในช่วงยกระดับความสามารถในการผลิตของโรงงานในประเทศเวียดนามและกำลังยื่นขอใบรับรองการผลิตเพื่อให้สามารถผลิตสายไฟฟ้าแรงดันสูงได้มากยิ่งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ในผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าสูงให้ถึง 40% ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนของวัตถุดิบทองแดงและอลูมิเนียมของบริษัทนั้นคิดเป็นประมาณ 70%-80% ของต้นทุนการผลิตสายไฟฟ้าทั้งหมด จึงมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาของโลหะเหล่านี้ ทำให้มีผลกำไรและเงินทุนหมุนเวียนที่ผันผวนตามไปด้วย แต่บริษัทได้ลดความเสี่ยงลงโดยใช้กลยุทธ์ตั้งราคาขายแบบส่งผ่านต้นทุน (Cost-plus Pricing Strategy) และนโยบายในการทำสัญญากำหนดราคาวัตถุดิบ หลังจากได้รับการยืนยันการสั่งสินค้าจากลูกค้า
ทริสฯประเมินว่าผลการดำเนินงานยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เนื่องจากระยะเวลาการชำระเจ้าหนี้การค้าในการนำเข้าวัตถุดิบที่ยาวนานถึงประมาณ 360 วัน ทำให้การใช้สัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging Contract) อาจจะสามารถทำได้เพียงบางส่วน
นอกจากนี้บริษัทมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของยอดขายสายไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วในระหว่างปี 2564-2565 ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มมากขึ้น และระยะเวลาในการเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าที่นานขึ้นได้ส่งผลทำให้วงจรเงินสด (Cash Conversion Cycle) ยาวนานขึ้น ทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ แต่บริษัทสามารถเติมเต็มความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นได้ด้วยการหาวงเงินสินเชื่อระยะสั้นใหม่ ๆ และใช้วิธีการออกหุ้นกู้ โดยหนี้สินทางการเงินรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ย. 2565 จาก 1.43 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวก็มีผลกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นสิ่งชดเชย โดยกำไรของบริษัทนั้นยังคงสูงกว่าที่ทริสฯคาดการณ์ไว้ โดย EBITDA (รวมผลกำไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 4,800 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า EBITDA ทั้งปีที่ระดับ 4,300 ล้านบาทในปี 2564
ในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์ของสายไฟฟ้าที่ยังแข็งแกร่งในประเทศไทยและในประเทศเวียดนาม อัตรากำไรมีแนวโน้มที่จะคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากบริษัทยังคงเน้นการจำหน่ายสายไฟฟ้าที่มีมูลค่าสูงและยังคงดำเนินโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในช่วงระหว่างปี 2565-2567 ทริสคาดการณ์ว่ารายได้จะอยู่ระหว่าง 2.8-3.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่วน EBITDA Margin นั้นจะคงอยู่ในช่วง 15%-18% หรือคิดเป็น EBITDA ที่ประมาณ 4.5-5.8 พันล้านบาทต่อปี คาดการณ์ว่าสถานะทางการเงินน่าจะยังคงอยู่ในระดับเดิม โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในช่วง 2.5-4 เท่าใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน
ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าทริสคาดว่าแหล่งเงินทุนน่าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้เงิน แหล่งเงินทุน ประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 0.45 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ย.2565 และเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.7 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่การใช้เงินทุนหลัก ๆจะประกอบด้วยการชำระหนี้เงินกู้ 1.97 พันล้านบาทและการลงทุนตามแผนอีกประมาณ 0.96 พันล้านบาท ทั้งนี้ หุ้นกู้มูลค่ารวม 2.78 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 นั้นบริษัทน่าจะใช้วิธีออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน
ทั้งนี้ทริสยังไม่ได้นับเงินเพิ่มทุนมารวมไว้ในการประเมินสภาพคล่อง โดยบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนและได้รับเงินจำนวน 5,450 ล้านบาทในเดือนต.ค. 2565 แต่วัตถุประสงค์ในการใช้เงินเพิ่มทุนดังกล่าวนั้น ถูกจำกัดไว้สำหรับการซื้อกิจการผลิตสายไฟฟ้าสำหรับยานยนต์จาก LEONI เป็นหลัก
ณ สิ้นเดือนก.ย. 2565 บริษัทมีหนี้เงินกู้ ซึ่งไม่รวมหนี้จากสัญญาเช่าการเงินอยู่ที่จำนวน 1.58 หมื่นล้านบาท ในขณะที่หนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีหลักประกันและหนี้ที่เป็นของบริษัทย่อยนั้นมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 9,100 ล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวม จึงอยู่ที่ระดับประมาณ 57.7% ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ของทริส ซึ่งอยู่ที่ระดับ 50% จึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญในแง่ของลำดับในการเรียกร้องต่อสินทรัพย์ของบริษัท