FETCO ย้ำภาษีหุ้น ได้ไม่คุ้มเสีย ต่างชาติหนีต้นทุนพุ่ง-วอลุ่มหด 50%

HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO ชี้เก็บภาษีหุ้นทำลายโอกาสตลาดทุนไทย ได้หมื่นล้านอาจเสียแสนล้าน กระทบการระดมทุนของภาคธุรกิจซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โบรกเกอร์ชี้มูลค่าการซื้อขายจะลดลงเหลือไม่กี่หมื่นล้านบาทต่อวัน ย้อนถอยหลังไปกว่าสิบปี เหตุนักลงทุนต่างชาติสัดส่วน 50% ของมูลค่าซื้อขายเตรียมย้ายออก หนีต้นทุนพุ่งมากกว่าเท่าตัวจาก 0.03% เป็น 0.055% สภาพคล่องในการซื้อขายจะหดหาย ยากจะฟื้นฟูกลับมาได้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวในงานเสวนาพิเศษ “ภาษีขายหุ้น…คุ้มหรือไม่” ระบุว่าหลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักลงทุน หรือโบรกเกอร์ ต่างมีความเห็นตรงกันว่าไม่ควรเก็บภาษีหุ้น เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกลุ่ม แต่ยังส่งผลกระทบทางอ้อมที่ทำให้เกิดผลเสียตามมามากมาย

“การเก็บภาษีต้องมองโดยยึดจากประโยชน์โดยรวมของประเทศ ว่าเก็บแล้วจะเอาเงินไปใช้อะไร ประเทศจะดีขึ้นหรือไม่ หรือจะเป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง เก็บภาษีได้หมื่นล้านแต่ความเสียหายหลักแสนล้านหรือมากกว่า เนื่องจากกระทบต่อตลาดทุนซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ รวมถึงเป็นการทำลายโอกาสของนักลงทุนในการลงทุนระยะยาวเพื่อเตรียมตัวรับกับการเกษียณอายุ” นายกอบศักดิ์กล่าว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า การเก็บภาษีหุ้นทำให้ต้นทุนในการลงทุนสูงขึ้น สภาพคล่องจะลดลง ปัจจุบันถึงแม้ยังไม่เก็บภาษีหุ้นแต่สภาพคล่องก็ลดลงมาจากวันละเกือบแสนล้านบาท เหลือวันละ 3-4 หมื่นล้านบาท ก็ลดลงมาครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีต้นทุนค่าธรรมเนียมซื้อขาย 0.03% หากเก็บภาษีจากการขายหุ้น 0.11% ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นมาเฉลี่ย 0.055% (เฉลี่ยซื้อและขาย) ทำให้นักลงทุนมีต้นทุนเพิ่มจาก 0.03% เป็น 0.085% ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว

“นักลงทุนต่างชาติที่ซื้อขายกันเป็นสัดส่วนถึง 50%ของมูลค่าการซื้อขายแต่ละวัน เขาบอกว่าจะย้ายไปตลาดอื่นแน่นอน เพราะไม่คุ้มค่า สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างประเทศจะหายไปหมด เราอาจจะได้เห็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงเหลือ 1- 3 หมื่นล้านบาท เท่ากับย้อนถอยหลังไปกว่าสิบปีก่อน เมื่อสภาพคล่องหดหาย นักลงทุนจะทยอยย้ายออกไปตลาดหุ้นที่มีสภาพคล่องที่สูงกว่า ตลาดหุ้นไทยจะยิ่งเล็กลง เล็กลง การระดมทุนของธุรกิจทำได้ยาก ก็จะไปหาแหล่งระดมทุนอื่นๆแทน การจะสร้างให้ตลาดหุ้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมจะทำได้ยากมาก” นายไพบูลย์กล่าว

บทบาทหน้าที่ของตลาดทุน คือเป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจ ตลาดหุ้นไทยถือว่ามีสภาพคล่องสูงที่สุดในอาเซียนติดต่อกันมา 5 – 6 ปี ธุรกิจขนาดใหญ่ๆเข้ามาระดมเงินทุนได้จำนวนมากเพราะมีนักลงทุนที่หลากหลาย การที่ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงถือว่าเป็นข้อดี แต่การเก็บภาษีหุ้นจะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยหดหายไปอย่างแน่นอน

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นเป็นแหล่งระดมทุนของภาคธุรกิจถือว่ามีส่วนช่วยพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ภาคธุรกิจสามารถระดมเงินทุนไปพัฒนาโครงการต่างๆมากมาย สร้างความเจริญให้ประเทศ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็เป็นฐานภาษีที่สำคัญ บริษัทนอกตลาดส่วนใหญ่ก็ไม่มีกำไร มีหลายบัญชีบ้าง เก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยได้รับความนิยม มีสภาพคล่องสูง มีมูลค่าที่ดี ซื้อขายกัน P/E เฉลี่ย 16-17 เท่า บริษัทก็อยากเข้ามาระดมทุน เพราะขายหุ้นได้ในราคาที่ดี มีการซื้อขายคึกคัก แต่ถ้าไปเก็บภาษีแล้วทำให้สภาพคล่องตลาดหายไป นักลงทุนถอยออกจากตลาดไป ถึงแม้ราคาลดลงไปซื้อขายกันที่ P/E 10 เท่าก็ไม่มีคนอยากเข้ามา เพราะสภาพคล่องไม่มี ขณะเดียวกัน บริษัทก็ไม่อยากระดมทุน เพราะขายหุ้นได้ในราคาไม่ดี ถึงตอนนั้นจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีบริษัทจดทะเบียนประมาณ 800 บริษัท ในจำนวนนี้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลให้รัฐบาลปีละ 2 แสนล้านบาท ภาษีจากเงินปันผลอีก 6 หมื่นล้านบาท  ถ้ารัฐบาลพัฒนาตลาดทุนให้ดี มีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น แข่งกันทำผลประกอบการกำไรเติบโตมากขึ้น รัฐบาลก็จะมีรายได้จากส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงถ้าพัฒนาให้ตลาดใหญ่กว่านี้ก็จะดึงดูดธุรกิจให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสร้างสรรค์นวัตกรรม ธุรกิจเทคโนโลยี รวมถึงตลาดหุ้นยังเป็นแหล่งระดมเงินทุนของธุรกิจ SME และ Start Up อีกด้วย

“จุดขายของตลาดหุ้นไทยลดลงไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจไทยก็มีปัญหา เราเติบโตต่ำสุดในอาเซียนติดต่อกันมาหลายปี ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีจุดเด่นที่มีสภาพคล่องสูง และคู่แข่งของตลาดหุ้นไทยคือตลาดหุ้นสิงคโปร์ ซึ่งเขาไม่มีการเก็บภาษีหุ้น แต่ก็ไม่มีสภาพคล่องสูงเหมือนตลาดหุ้นไทย ถ้าไทยเก็บภาษีหุ้นแล้วทำให้สภาพคล่องไหลออกไปก็เท่ากับเราทำลายตัวเอง” นายไพบูลย์กล่าว

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐนั้นยังมีภาษีอื่นที่ทำได้ เช่น ไปเก็บภาษีจากบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ที่หลีกเลี่ยงภาษี หรือเก็บภาษีที่ดิน ซึ่งมีความเหลื่อมล้ำสูงมากในการถือครองที่ดิน  ตลาดทุนถือเป็นตลาดที่สร้างโอกาสให้สามารถสร้างความมั่งคั่ง สร้างผลตอบแทนที่ดี สร้างการลงทุนระยะยาวเพื่อเตรียมตัวสู่การเกษียณ

การเก็บภาษีหุ้นนั้นรัฐบาลคาดว่าจะเก็บได้ 1.6 หมื่นล้านบาท แต่หากเก็บจริงก็คงได้ไม่ถึง เพราะมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นจะลดลง นักลงทุนที่มีการซื้อขายแบบเทรดดิ้งประมาณ 30% จะหายไปจากตลาดแน่นอน ยังไม่นับรวมนักลงทุนต่างชาติอีก 50% ที่ออกจากตลาดไปเพราะต้นทุนสูงขึ้น การเก็บภาษีก็คงจะได้ต่ำกว่าเป้าแน่นอน

นอกจากการเก็บภาษีจะกระทบต่อนักลงทุนที่ซื้อขายบ่อยๆแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อนักลงทุนระยะยาว หรือนักลงทุนเพื่อการเกษียณอายุในทางอ้อม กล่าวคือ เมื่อสภาพคล่องของตลาดลดลง นักลงทุนถอยออกจากตลาด ตลาดไม่มีความน่าสนใจ ทำให้มูลค่าของหลักทรัพย์ลดลง ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนต่างๆรวมถึงกองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อมที่เกิดขึ้นต่อผู้ถือหน่วยลงทุนเหล่านี้กว่า 20 ล้านคน

 

#FETCO #ภาษีหุ้น