ITC : นักวิเคราะห์ชี้เป้าเฉลี่ย 39 บาท ใหญ่จ่อเข้า SET50

HoonSmart.com>>บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) เป็นหุ้นที่ทำธุรกิจรับจ้างผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมดเพียงแห่งเดียวในตลาดหุ้นไทย มีส่วนทำให้อัตรากำไรสุทธิ และอัตราส่วนทางการเงินสูง เช่น ROE, ROA  แต่ราคาหุ้นวันแรก 9 ธ.ค.2565 กลับปิดที่ 31 บาท ต่ำกว่าที่ขาย IPO 32 บาท ถูกกว่าพื้นฐานและเป้าหมายที่ 12 นักวิเคราะห์ให้เฉลี่ย 39 บาท ขณะที่ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) นอกจากรับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีธุรกิจอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก และผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้จากการแปรรูปปลาทูน่า หุ้นได้รับการตอบรับสูงมาก

นาย พิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) เปิดเผยว่า หุ้น ITC มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ มีโอกาสได้รับเลือกเข้าสู่การคำนวณดัชนี SET 50 ในรอบหน้า บริษัทยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนประมาณ 52%

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตเฉลี่ย 15% อย่างต่อเนื่อง จากอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในช่วง 3-5 ปี ขยายตัวเฉลี่ย 7% ต่อปี รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ปีที่ผ่านมามีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวน 1,300 รายการ ช่วยเพิ่มรายได้ 8% ต่อปี  พร้อมขยายตลาดไปในจีนและยุโรป  ทำให้บริษัทฯมีส่วนแบ่งตลาดขึ้นเป็นอันดับ 1ในเอเชีย จากปัจจุบันเป็นรองบริษัทญี่ปุ่นที่มีส่วนต่างเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น

นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้นำเงินที่ได้จากการระดมทุนมากกว่า 21,000 ล้านบาท ไปชำระหนี้สถาบันการเงินคืนทั้งหมด 7,500 ล้านบาทแล้ว ช่วยประหยัดดอกเบี้ยจ่ายประมาณปีละ 10 ล้านบาท ปัจจุบันคงเหลือเพียงหนี้การค้าเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังนำไปลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต ทั้งการขยายคลังสินค้า ขยายโรงงานซื้อเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิต ทั้งนี้ ในปี 2566 จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ในระยะสั้นยังไม่มีแผนซื้อกิจการแต่อย่างใด

“เรายังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรสูง อัตรากำไรขั้นต้น  อัตรากำไรสุทธิ  25% อย่างต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์ของ ITC”นายพิชิตชัยกล่าว

ด้านนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น กล่าวว่า ITC เป็นหุ้นที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ บริษัทมีจุดเด่นที่มีกำไรดี อัตรากำไรสุทธิสูง

บริษัทมีการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่  ณ วันที่ 6 ธ.ค.2565 อันดับ 1 บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU ) ถือหุ้น 2,334.65 ล้านหุ้น คิดเป็น 77.82%

อันดับ 2-3 เครดิต สวิส (สิงคโปร์) 125.29 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.18% , ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงก์ จำนวน 87.80 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.93%

นายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี นักลงทุรายใหญ่ ถือหุ้นอันดับ 4 จำนวน 20 ล้านหุ้นเศษ หรือ 0.67% , ควงคู่นายสุระ คณิตทวีกุล อันดับ 5 จำนวน 15.10 ล้านหุ้น หรือ 0.50% และนางจารุณี ชินวงศ์วรกุล อันดับ 6 ถือ 10.14 ล้านหุ้น หรือ 0.34%

นอกจากนี้ยังมี นายคีรี กาญจนพาสน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ BTS และนายกวิน กาญจนพาสน์ ลูกชาย ถือหุ้น อันดับ 7-8  รายละ 10 ล้านหุ้น หรือรายละ 0.33% รวมทั้งนายธีรพงศ์ จันศิริ อันดับ 9 ถือจำนวน 9.27 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.31%

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ 12 ราย ให้ราคาเป้าหมายในช่วง 37.59-40.72 บาท คาดการณ์บน P/E 24.37-26.34 เท่า หรือราคาเฉลี่ยหุ้นละ 39.16 บาท บน P/E เฉลี่ย 25.36 เท่า โดยเฉพาะบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ตีมูลค่าสูงที่สุด 41-45 บาท อ้างอิง P/E 26-28 เท่า ถือว่าเหมาะสม เพราะมองสิ่งที่ ITC ทำได้ดีกว่าบริษัทจีน เช่น  Yantai China Pet Foods Co., Ltd. และ Petpal Pet Nutrition Technology Co Ltd คือ ความสามารถในการทำกำไร คาดว่าปี 2565 จะมีกำไรสุทธิ 4,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,439 ล้านบาท เติบโต 100% ในปี 2566 จะทำกำไรได้จำนวน 4,782 ล้านบาท เติบโต 622 ล้านบาท หรือประมาณ 15% และปี 2567 มีกำไรสุทธิ 5,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  847 ล้านบาท หรือ 17% จากการเติบโตของรายได้และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

“คาดกำไรปกติของ ITC จะโดดเด่น ในปี 2565 จะเติบโตสูง 61% และคาด 3 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 19.4% เพราะความแข็งแกร่งและกลยุทธ์ของบริษัท รวมถึงผลงานที่ผ่านมา ในปี 2561-2564  แม้มีการระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทยังมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่15.2% และ 26.7% ตามลำดับ โตดีกว่ามูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก”

ขณะที่ Frost & Sullivan คาดการณ์ว่ามูลค่าอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกจะเติบโตมั่นคง 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่  7.1%  โตที่อาหารแมวมากกว่าสุนัข และโตที่อาหารเปียกมากกว่าแบบแห้ง ซึ่งเป็นตลาดหลักของ  ITC

บล.ฟินันเซีย ไซรัสระบุว่า ไอ-เทล มีบริษัทแม่ คือ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป AAI ผู้ผลิตปลาทูน่ารายใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุน การตลาด การพัฒนาด้าน R&D ช่วยให้บริการลูกค้าได้ครบวงจร รวมถึงช่วยให้มีภาพลักษณ์ที่ดี และมีนโยบายดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดความยั่งยืน ด้วยประสบการณ์ของทีมผู้บริหารยาวนานเฉลี่ย 20 ปี สามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าระดับโลกนานเฉลี่ยถึง 21 ปีสำหรับรายใหญ่ 3 อันดับแรก (สัดส่วนรายได้ 52.8% ของรายได้ปี 2564) และเฉลี่ย 18 ปีสำหรับ 10 อันดับแรก นอกจากนี้บริษัทยังควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี มีภาระดอกเบี้ยต่ำ และได้สิทธิพิเศษทางภาษี ส่งผลให้อัตรากำไรโดดเด่นกว่าคู่แข่งอยู่มาก

ด้าน นาย สมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล รายงานก.ล.ต.ว่า วันที่ 8 ธ.ค. 2565 ได้ขายหุ้น AAI จำนวน 1,156,800 หุ้น ราคาหุ้นละ 7.81 บาท เป็นเงินประมาณ 9 ล้านบาท คงเหลือหุ้นจำนวน 57,411,200 หุ้น