PTT นำ 3 บริษัทลูก เทรดต่ำบุ๊ค บล.กสิกรฯมองปตท.downside จำกัด

HoonSmart.com>> ‘ปตท.ควง ไออาร์พีซี-ไทยออยล์-พีทีที โกลบอล เคมิคอล’ ซื้อขายที่ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า บล.กสิกรไทยแนะนำซื้อ PTT ราคาไม่แพง  แม้กดเป้าหมายปีหน้าลงเหลือ 42.75 บาท จากปรับลดประมาณการกำไร รอธุรกิจ S-Curve หนุนบริษัทแม่ คาดอัตราผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 6% ต่อปี ส่วน “IRPC” ลั่นธุรกิจปิโตรเคมี ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ด้าน OR เทรดที่ 2.77 เท่า  ด้านต่างชาติขายหุ้นไทยหนักกว่า 5 พันล้านบาท 

บริษัทปตท.(PTT) ตกเป็นเป้าหมายถูกถล่มขายหุ้นรุนแรงอย่างต่อเนื่อง กดดันมาร์เก็ตแคปที่เคยมีมูลค่าสูงกว่า 1.18 ล้านล้านบาท ลดลงมาเหลือ 942,579 ล้านบาท หลังจากราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุดแตะ 41.25 บาท ลงมาเหลือ 33 บาทใกล้เคียงสถิติต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ เนื่องจากผลกำไรสุทธิลดลงตามบริษัทในเครือ ธุรกิจปิโตรเคมี ปิโตรเลียมและโรงกลั่นตกต่ำและยังมีผลขาดทุนสต๊อก ทำให้ราคาหุ้นปตท.ลงมาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) เพียง 0.88 เท่า เช่นเดียวกับบริษัทในกลุ่ม 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทไอาร์พีซี (IRPC) เทรดที่ P/BV 0.72 เท่า เท่ากับ บริษัทไทยออยล์(TOP) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ที่ 0.80 เท่า

ส่วนบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เทรดที่P/BV  1.46 เท่า บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ที่ 1.83 เท่า และ ส่วนบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เทรดที่ 2.77 เท่า

นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ราคาหุ้น IRPC ปรับตัวลงซื้อขายต่ำกว่าบุ๊ค และมาร์เก็ตแคปลงมาเหลือ  62,120.63 ล้านบาท คาดว่าธุรกิจปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2-3 แล้ว แม้จะมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกถดถอยก็ตาม แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2566 คาดว่ารายได้เติบโต 12% และ EBITDA เติบโตดีกว่าปีนี้ จากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น หลังจากปิดซ่อมบำรุงเป็นส่วนใหญ่แล้ว รวมถึงการควบคุมต้นทุนต่อเนื่อง และน่าจะไม่มีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Loss) เหมือนในปีนี้แล้ว

ด้านบล.กสิกรไทยแนะนำซื้อหุ้น PTT หลังพบผู้บริหารปตท.ให้แนวทางใหม่แสดงถึงกำไรปกติที่น่าจะปรับลดลงในปี 2566 จากทิศทางราคาน้ำมัน ค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ที่ลดลง ขณะเดียวกันราคาก๊าซยังคงทรงตัว คาดว่าประเทศไทยน่าจะยังคงนำเข้า LNG ในตลาด spot ในระดับเกือบเท่าเดิมจากปีนี้ แต่ราคานำเข้าเฉลี่ยสูงกว่าในปี 2565 หมายความว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติของ PTT จะยังคงทรงตัวในระดับสูง

ดังนั้นจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2565 ลง 23% เหลือ 85,955 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าทำกำไรสูงถึง 108,363 ล้านบาท นอกจากนี้ยังปรับลดประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลง 7% เป็น 77,882 ล้านบาท และ 79,588 ล้านบาท ตามลำดับ คาดว่าปี 2565-2567 จะให้อัตราผลตอบแทนปันผล 6.02% 6.50% และ 6.95% ตามลำดับ

“เราปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ลงเป็น 42.75 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร และคงคำแนะนำ”ซื้อ” โดยคิดว่าราคาหุ้นปัจจุบันมี downside ที่จำกัด เนื่องจากซื้อขายที่อิงตาม B/BV ที่ไม่แพงที่ 0.81 เท่า หรือเท่ากับ -2x S.D. ขณะเดียวกันคาดว่าอาจเห็นการปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นในระยะยาว เมื่อธุรกิจ S-curve เริ่มสร้างส่วนแบ่งกำไรอย่างมีนัยสำคัญ โดยปตท.ตั้งเป้ากำไรจากธุรกิจ S-Curve ใหม่จะเพิ่มเป็น 30% ของกำไรสุทธิทั้งหมดในปี 2573 ”

ทั้งนี้ ผลงานในไตรมาสที่ 3/2565 ธุรกิจใหม่ส่งส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น บริษัท Lotus Pharmaceutical ทำกำไรสูงสุดใหม่ มากกว่า 2 เท่าจากปีก่อน จากความสำเร็จของการเปิดตัวยาสามัญใหม่ในตลาดสหรัฐอเมริกา ส่วนบริษัท Innobic ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโภชนาการ คาดว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณต้นปี 2566 โครงการโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) PTT-Foxconn ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนดในปี 2567

สำหรับภาวะตลาดหุ้นวันที่ 2 ธ.ค.2565ที่ผ่านมา  ดัชนีปิดที่ระดับ 1,641.63 จุด ลดลง 6.81 จุด หรือ -0.41% มูลค่าซื้อขาย 53,751.05 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,168.59 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยซื้อสุทธิ 3,568.98 ล้านบาท

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นพักฐานหลังจากปรับขึ้นไปแรง และจะมีวันหยุดระยะยาวด้วย  นักลงทุนชะลอการลงทุน สอดคล้องกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลง เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่เทรดตอนบ่าย ติดลบเฉลี่ย 0.4-0.5% หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐมีทั้งดีและไม่ดี โดยล่าสุดดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐออกมาต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง สร้างความกังวลเศรษฐกิจถดถอย

อย่างไรก็ดี ยังจะต้องรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ และติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่อาจจะมีการพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ช้อปดีมีคืน” และติดตามตัวเลข PMI ภาคการผลิตของประเทศสำคัญที่จะทยอยประกาศออกมา รวมถึงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของจีนด้วย

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้าตลาดคงจะแกว่งไซด์เวย์ ในลักษณะพักตัว ให้แนวรับ 1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650-1,660 จุด