ทรีนีตี้มองบวกท้ายปี เชียร์ 18 หุ้น เอเซียพลัส ยก 6 หุ้นโตสดใส

HoonSmart.com>>“ทรีนีตี้” แนะ 18 หุ้นเด่นส่งท้ายปี รับรัฐออกมาตรการกระตุ้นจับจ่ายใช้สอยปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจในบ้าน อย่าหวังฟันด์โฟลว์ เงินเข้ามาช่วงนี้เป็น Hot money เก็งกำไรเงินบาทจากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายรอบล่าสุด กลยุทธ์ให้ขายล็อคกำไรไว้บ้าง หั่นดัชนีที่เหมาะสมปีนี้ ลง 50 จุดเหลือ 1,580  ด้านบล.เอเซียพลัสเชียร์  COM7, MTC, TISCO, BEC, SCGP, GULF

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นเดือนธ.ค.2565 ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯและจีนปรับตัว Outperform ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกได้ จาก 2 ปัจจัยหนุน ได้แก่ ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่เตรียมชะลอลงในการประชุมกลางเดือนธ.ค.นี้ และการส่งสัญญาณของรัฐบาลจีนต่อการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศมากขึ้น ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็ได้แรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาด  การประชุม ECB ในช่วงกลางเดือนธ.ค.มีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.5% ด้วยเช่นเดียวกันกับเฟด

นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐฯปรับตัวลงแรงเมื่อคืนวันที่ 30 พ.ย. จากคำพูดเชิง Dovish ของนาย Jerome Powell มองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นเทคโนโลยีเป็นสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทยปรับตัวขึ้นแรงในช่วงสั้น  แต่ไม่แนะนำให้เข้าลงทุน  มองความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจะเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงถัดไปได้

“การทำจุดต่ำสุดของบอนด์ยีลด์ จึงยังคงมั่นใจต่อคำแนะนำให้ถือครองกลุ่มตราสารหนี้ รวมถึงตราสารจำพวกคล้ายบอนด์อย่าง REIT, Infrastructure fund, และหุ้นในกลุ่ม Utility ที่มี Relative yield สูงขึ้น”นายณัฐชาตกล่าว

สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้นมีปัจจัยกระตุ้นที่อาจเข้ามาสร้างสีสันได้บ้าง ได้แก่ การออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปีนี้-ต้นปีหน้า ซึ่งอาจทำให้กลุ่ม Domestic ยังคงน่าสนใจต่อไป ส่วนการเข้ามาของฟันด์โฟลว์ในช่วง 1-2 วันนี้นั้น มองเป็น Hot money ที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาทจากประเด็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต่อจากนี้อาจเริ่มเบาบางลง หากไม่มีปัจจัยกระตุ้นใหม่

ในเชิงกลยุทธ์ หลังจากที่กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายรอบล่าสุดมาอยู่ที่ 1.25% ทำให้ดัชนีที่เหมาะสมในกรณีฐานของทางทรีนีตี้ปรับลดจากระดับ 1,630 จุดมาอยู่ที่ 1,580 จุด ต่ำกว่าระดับปัจจุบันที่ 1,635 จุด อาจทำให้ Risk-reward ในภาพรวมดูไม่น่าสนใจมากนัก จึงเป็นที่มาที่แนะนำให้ล็อคกำไรหุ้นในส่วนที่เหลือ แต่หากต้องเลือกซื้อหุ้นในเดือนธ.ค.นี้ แนะนำ

1.กลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งในระยะสั้นได้ประโยชน์จากทั้งเงินบาทแข็ง, บอนด์ยีลด์ลง, ต้นทุนพลังงานลง (BGRIM, GPSC, GULF, RATCH, EGCO) ทั้งนี้ ประเมิน RATCH มีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป

2.กลุ่ม Big ticket retailers เพื่อเก็งมาตรการช้อปดีมีคืนที่จะออกมาในช่วงต้นปี 2566 (HMPRO, ILM, COM7) ทั้งนี้ ประเมิน COM7 มีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป

3.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เพื่อเก็งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี + จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น (AAV, BA, CENTEL, ERW, PTG, OR) มองกลุ่มสายการบินได้ Sentiment เชิงบวกระยะสั้นจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่วน CENTEL ประเมินว่ามีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป

4.กลุ่มบริหารหนี้ (BAM, JMT, CHAYO, KCC) ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 + การซื้อหนี้ผ่านจุดต่ำสุด มอง BAM ผ่านช่วง Overhang จากประเด็น MSCI เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้านบล.เอเซียพลัสมอง ในมุม Valuationตลาดหุ้นไทย ยังดูน่าสนใจ เนื่องจากมี Market Earning Yield Gap. ที่ระดับ 4.3% แม้ภาพรวมดัชนี Upside ไม่มาก จากกรอบดัชนีเป้าหมายปี 2565 ที่วางไว้ 1,685–1,720 จุด กลยุทธ์การลงทุน เน้นกลุ่ม Domestic Consumption แนวโน้มเติบโตยังสดใสกว่าภาพรวมตลาด อย่าง COM7, MTC, TISCO, BEC,SCGP, GULF

ปัจจุบันแรงกดดันตลาดการเงินโลกดูผ่อนคลายลงมาระดับหนึ่ง ยังคาดหวังฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังโตต่อเนื่องในปี 2566 ในมุมมองของ IMF มีเพียง 2 ประเทศในเอเซีย คือ ไทยกับจีนเท่านั้น ขณะที่เม็ดเงินจาก LTF หนุนตลาดในเดือน ธ.ค. คาดหวังได้ยาก เพราะหลังจากเปลี่ยนเป็นกองทุน SSF เม็ดเงินที่เคยไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 2-3 หมื่นล้านบาทในเดือนสุดท้ายของปีเหลือเพียง 1,000-2,000 ล้านบาท