เศรษฐกิจ Q3/65 โตเกินคาดที่ 4.5% สภาพัฒน์ฯชี้ปี 65โต 3.2% ปีหน้า 3-4%

HoonSmart.com>>เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3/65 เร่งตัวขึ้นโต 4.5% จากตลาดคาด 4.3% รวม 9 เดือนขยายตัว 3.1% ได้ท่องเที่ยว- การบริโภคเอกชนหนุน สภาพัฒน์คาดปี 65 เพิ่มขึ้น 3.2% จากปี 64 โต 1.5% ส่วนปี 66 ขยายตัว 3-4% เงินเฟ้อลดเหลือ 2.5-3.5% ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.1% ต่อ GDP รายได้จากการท่องเที่ยว 1.2 ล้านล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 23.5 ล้านคน  

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/65 ขยายตัว 4.5% (YoY) จากตลาดคาดขยายตัว 4.3% (YoY) เร่งตัวขึ้นจากในไตรมาสที่ 1-2 ที่เติบโต 2.3% และ 2.5%เมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว  ซึ่งไตรมาส 3 ขยายตัว 1.2% จากไตรมาสที่ 2 (QoQ) รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัว 3.1% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 7.3% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ยอยู่ที่ 3.1%

สาเหตุที่เศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 เร่งตัวขึ้น เป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมโรคโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนเริ่มกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ขณะที่ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น ประกอบกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์ภายนอกประเทศที่เริ่มผ่อนคลายความตึงเครียด

นอกจากนี้ก็มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น  การบริโภคเอกชน ขยายตัว 9% ขณะที่การอุปโภคภาครัฐ หดตัว -0.6% การลงทุนรวม ขยายตัว 5.2% แยกเป็น การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 11% และการลงทุนภาครัฐ หดตัว -7.3% ส่วนด้านการผลิต พบว่า สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 6.3% สาขาที่พักแรม และบริการด้านอาหาร ขยายตัวสูงถึง 53.6% สาขาขนส่ง ขยายตัว 9.9% สาขาการค้า ขยายตัว 3.5% แต่สาขาก่อสร้าง หดตัว -2.8% และภาคเกษตร หดตัว -2.3%

ด้านการส่งออกมีมูลค่า 71,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.7% ชะลอลงจากการขยายตัว 9.7% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 71,558 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 23.2% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 22.4% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 7.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนก.ย.2565 อยู่ที่ 2.0 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะอยู่ที่ 60.7% ของ GDP

แนวโน้มในปี 2565 คาดเศรษฐกิจจะเติบโต 3.2% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 6.3% การส่งออกขยายตัว 7.5% การนำเข้า ขยายตัว 17.8% ดุลการค้าเกินดุล 19.1 พันล้านดอลลาร์ และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 3.6% ต่อ GDP รายได้จากการท่องเที่ยว จะอยู่ที่ 5.7 แสนล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10.2 ล้านคน  ส่วนเศรษฐกิจ ในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4%

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจปี 2565-2566  รวมถึงการขยายตัวของการลงทุน ทั้งรัฐและเอกชนยังขยายตัวได้ดี ซึ่งได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนในปี 2563 และ 2564 ค่อนข้างมาก  ถ้าเร่งลงทุนในปี 2566 จะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่องโดยอาจไม่จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ออกมาในปลายปีนี้ เพราะแต่ละกระทรวงจะมีการทำมาตรการของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนอยู่แล้ว  เพื่อช่วยเรื่องการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวนั้น หากจะต้องมี คงต้องเป็นมาตรการที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น รวมทั้งการดูแลปัญหาค่าครองชีพ และราคาพลังงาน  ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา  เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

นายดนุชากล่าวว่า เศรษฐกิจในปี 2565-2566 คาดการณ์บนสมมติฐานสำคัญ เช่น  การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 3.1% และปีหน้าอยู่ที่ 2.6% อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ 35.20 บาท/ดอลลาร์ และเฉลี่ยที่ 35.50-36.50 บาท/ดอลลาร์  ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 98.50 ดอลลาร์/บาร์เรล และ เฉลี่ยที่ 85-95 ดอลลาร์/บาร์เรล รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 5.7 แสนล้านบาท และที่ 1.2 ล้านล้านบาท ตามลำดับ

” ปี 2566 การบริหารนโยบาย ควรให้ความสำคัญกับประเด็นการดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินของลูกหนี้รายย่อย ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งยังไว้วางใจไม่ได้ ต้องแก้ไปเรื่อยๆ หนี้ครัวเรือนเป็นเหมือนระเบิดเวลา ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประชาชน ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดการก่อหนี้เกินตัวไปเรื่อยๆ และเกิดปัญหาในระบบเศรษฐกิจตามมา รวมถึงการสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก”นายดนุชากล่าว