HoonSmart.com>> นักลงทุนเทหุ้น KLINIQ ร่วง 10% คาดขายทำกำไร หลังราคาพุ่งแรงช่วง IPO เข้าเทรด 7 พ.ย. ด้าน “เฉลิมชัย ทองวัฒน์” แจ้งลาออกกรรมการทั้งที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์เพียง 6 วันทำการ ขณะที่ผู้บริหาร 4 รายทยอยขายหุ้นตั้งแต่เข้าเทรดรวม 1.1 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 44 ล้านบาท ด้านงบไตรมาส 3/65 กำไร 44 ล้านบาท โต 201% หนุน 9 เดือนโกย 145 ล้านบาท ทุบสถติสูงสุดใหม่
หุ้น KLINIQ (บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม) เช้าวันที่ 15 พ.ย.2565 ราคาปรับตัวลงแรง ณ เวลา 10.53 น. อยู่ที่ 35 บาท ลดลง 4 บาท หรือ -10.26% มูลค่า 422 ล้านบาท อาจจะเพราะขึ้นไปแรง IPO ราคา 24.5 บาท วันแรกเข้า 41.50 บาท บวก 17 บาทหรือ 69.39% มูลค่าซื้อขาย 5,563 ล้านบาท และหุ้นเพิ่งเข้า ซื้อขาย 7 พ.ย. แต่วันที่ 14 พ.ย. กรรมกาารลาออก คือ นายเฉลิมชัย ทองวัฒน์
ด้านข้อมูลจากรายงานข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร (แบบ 59) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบผู้หารขายหุ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.2565 ที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ รวม 4 ราย โดยนาย สุทธิพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์ ขายหุ้นจำนวน 400,000 หุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 36.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 14.40 ล้านบาท และนายนาย วินัย ชาญสายสาคร ขายหุ้นจำนวน 1,000 ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 41.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 41,500 บาท .
วันที่ 8 พ.ย.2565 นายณัฐพัชร์ ชลิศราพงศ์ มีการขายหุ้นจำนวน 4,000 หุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 40.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 162,000 บาทและนาย ประทีป วาณิชย์ก่อกุล มีการขายหุ้นจำนวน 500,000 หุ้น ราคาเฉลี่ย 41.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 20.50 ล้านบาท
วันที่ 9 พ.ย.65 มีนายวินัย ชาญสายสาคร ขายหุ้นจำนวน 3,000 หุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 38.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 115,500 บาทและวันที่ 10 พ.ย.2565 นายสุทธิพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์ ขายหุ้นอีกจำนวน 200,000 หุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 44.80 บาท มูลค่าซื้อขาย 8.96 ล้านบาท ทั้งนี้ รวมรายการขายหุ้นทั้ง 4 ราย จำนวน 1,108,000 หุ้น มูลค่ารวม 44,179,000 บาท
ด้านนายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 3/65 มีกำไรสุทธิ 44.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 201.48% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 14.77 ล้านบาท ขณะที่ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิ 144.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.64%
ทั้งนี้ เป็นผลมามาจากรายได้จากการขายและให้บริการ 432.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการขายและให้บริการ 158.51 ล้านบาท เนื่องมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และจากการสิ้นสุดคำสั่งปิดเมืองของทางภาครัฐในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยรายได้จากการขายคอร์สบริการที่เพิ่มสูงขึ้นใงวดนี้มาจากกลุ่ม Energy Based Devices (เลเซอร์) และกลุ่มยาฉีด (Filler, Botox) เป็นต้น รวมถึงรายได้จากศูนย์ศัลยกรรมที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดในปี 65
“กำไรในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ถือว่าสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่ากำไรรวมทั้งปี 2564 และนับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทฯ ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มธุรกิจที่พร้อมเติบโตอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องเมกะเทรนด์ ที่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและความงาม และจากแผนการขยายสาขาเพิ่ม จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้รายได้และกำไร สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น”นายแพทย์อภิรุจ กล่าวในที่สุด