GULF กำไร 1,087 ล้านบ.แนวโน้มไตรมาส 4- ปี66 โตเด่น

HoonSmart.com>> กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เปิดงบไตรมาส3/65 มีกำไรสุทธิ 1,087 ล้านบาท ลดลง 32%  เจอค่าเงินบาทอ่อนและราคาก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น มีรายได้รวม 24,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76%  แนวโน้มไตรมาส 4  กำไรดีขึ้น ปี 66 โตอย่างโดดเด่นจากการ COD โครงการใหญ่

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2565 มีรายได้รวม 24,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2-3 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ในไตรมาส 4/2564 และไตรมาส 1/2565 และรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ประเทศเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 184 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมง เป็น 328 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาสนี้ รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP ทั้ง 19 โครงการจากราคาขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ

ส่วนของกำไรขั้นต้นจากการขายในไตรมาส 3/2565 เท่ากับ 4,466 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% หรือเพิ่มขึ้น 1,584 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564  แต่อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายกลับลดลงเหลือ  20.6% จาก 24.6% ปัจจัยหลักมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นภึง 116% จาก 268.61 บาท/ล้านบีทียู เป็น 579.13 บาท/ล้านบีทียู  ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.6298 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง จาก -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.4766 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้า GBP GNPM GNRV2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า SPP ภายใต้กลุ่ม GMP และ โครงการโรงไฟฟ้า GUT ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม GJP ได้มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (B Inspection)

สำหรับกำไรจากการดำเนินงาน  เท่ากับ 2,167 ล้านบาท ลดลง 126 ล้านบาท หรือ 6% จากไตรมาส 3/2564 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นและส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ลดลง 556 ล้านบาท (จากการเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีของ INTUCH เป็นส่วนแบ่งกำไร จำนวน 1,111 ล้านบาท แทนการรับรู้เงินปันผล จำนวน 1,667 ล้านบาท ) นอกจากนี้ PTT NGD มีผลขาดทุนจำนวน 221 ล้านบาท  เนื่องจากราคาน้ำมันเตาต่ำลง ประกอบกับราคาก๊าซสูงขึ้น (โครงสร้างรายได้ของ PTT NGD ผูกกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนอ้างอิงตามราคาก๊าซ) อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้า GSRC มีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของหน่วยที่ 2-3 และผลประกอบการที่ดีขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้า BKR2  ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานอ่อนตัวลงเพียงเล็กน้อย

บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 1,087 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 ลดลง 32% จาก 1,588 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนลง 7.3% จาก 38.07 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ  เทียบกับ 35.46 บาท ในไตรมาส 2/2565 ขณะที่ในไตรมาส 3/2564 ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเพียง 5.8%  ซึ่งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน  เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการแต่อย่างใด  ส่วนผลงานรวม 9 เดือนปีนี้ กำไรสุทธิ 6,012 ล้านบาท ลดลงจำนวน 1,385 ล้านบาทหรือ 29.93% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนกำไรสุทธิ 4,627 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 ก.ย.2565 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 1.96 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.89 เท่า ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565 เนื่องจาก GULF ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 35,000 ล้านบาท ในเดือนส.ค. 2565 เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้บางส่วน

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน  GULF เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2565 ยังเป็นไปตามเป้าหมาย  ถึงแม้ราคาค่าก๊าซธรรมชาติจะสูงขึ้นมาก  แต่ GULF ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสัดส่วนปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 13-14% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด  นอกจากนี้ GULF ได้มีการลงทุนในธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการลงทุนในกลุ่ม INTUCH ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ และส่งผลให้ GULF มีกำไรที่มั่นคงในระยะยาวอีกด้วย

ส่วนแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/2565 จะเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) ซึ่งได้เปิดดำเนินการไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ซึ่งในไตรมาส 4 ถือเป็นช่วง High Season รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการ ภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation สำหรับผลประกอบการในปี 2566 คาดว่ากำไรจะเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GPD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ โดยจะเปิดดำเนินการ จำนวน 2 หน่วย เท่ากับ 1,325 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเริ่มรับรู้กำไรของโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป