หุ้นร่วง 10 จุด ผิดหวังกำไรบจ. โพลนักลงทุนเชื่อมั่นตลาดดีขึ้น

HoonSmart.com>>หุ้นปิดร่วง 10.16 จุด ลดความร้อนแรงหลังไร้ปัจจัยใหม่รับแรงกดดันจากบจ.กลุ่มพลังงาน ไฟแนนซ์ ไม่ดี ท่ามกลางรอผลเลือกตั้ง-เงินเฟ้อสหรัฐ ต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,982 ล้านบาท แลกมัด สถาบันไทยทิ้ง 2,159  ล้านบาท ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้ามองดีขึ้น  นักลงทุนไทย-ต่างชาติชอบหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว “กอบศักดิ์”มองกลุ่มแบงก์เด่น กำไรดีขึ้นตามดอกเบี้ย 

ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 9 พ.ย.2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,622.45 จุด ลดลง 10.16 จุด หรือ -0.62% มูลค่าซื้อขาย 61,218.06 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อสุทธิ 1,981.94 ล้านบาท สวนทางสถาบันในประเทศขายสุทธิ 2,158.65 ล้านบาท ด้านเงินบาทแข็งค่า ปิดที่ 36.77 บาท/ดอลลาร์

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ลดความร้อนแรง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ประกอบกับรอดูผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ นอกจากนี้ได้รับแรงกดดันจากหุ้นที่รายงานผลประกอบการออกมาไม่ดี  เช่นหุ้น MTC, IRPC, PTTGC ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานกลางน้ำ และหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างเคลื่อนไหวไซด์เวย์ คล้ายคลึงกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ อิงติดลบเล็กน้อย ซึ่งต่างก็รอดูผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ และเงินเฟ้อสหรัฐเช่นกัน

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 10 พ.ย.2565 ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ โดยมีแนวรับ 1,620-1,615 จุด แนวต้าน 1,630 จุด

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index-ICI) ในเดือนต.ค. 2565 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 108.86 เพิ่มขึ้น 60.5% จากเดือนก่อนหน้าขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” โดยกลุ่มสถาบันไทยปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ “ร้อนแรง” เพิ่มขึ้น 14.7% อยู่ที่ระดับ 130.00

นักลงทุนมองว่าการฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือความคาดหวังต่อการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนต่อนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED รองลงมาคือ สถานการณ์เงินเฟ้อ และสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

นักลงทุนไทยชอบกลุ่มท่องเที่ยว ไม่ชอบกลุ่มแฟชั่นมากที่สุด ส่วนบล.ชอบแบงก์ ไม่ชอบสื่อ-อสังหาริมทรัพย์  ส่วนสถาบันที่เป็นกองทุนชอบแบงก์ ไม่ชอบปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ นักลงทุนต่างชาติ ชอบกลุ่มท่องเที่ยว ไม่ชอบ ปิโตรฯ

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า กลุ่มแบงก์โดดเด่น เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ย ทั้งที่แบงก์ประกาศและไม่ประกาศขึ้น  ส่วนดอกเบี้ยบ้านคงที่ 3 ปี แทบจะหาไม่ได้ แบงก์คุยกับลูกค้าขอปรับขึ้นมาร์จิ้น ลูกค้ายินดี  ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าเดือนธ.ค.ปรับขึ้นอีก  0.25% เป็น 1.25% และเดือนก.พ.2566 ขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เงินเฟ้อลดลงจาก 8% ลงมาเหลือ 6 % เงินเฟ้อพื้นฐาน 3.17%  ลดแรงกดดันให้ธปท.

“ธปท.น่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 2-3 ครั้ง ทำให้ NIM ดีขึ้น แบงก์น่าสนใจ ส่วนเฟดคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยถึงกลางปีหน้า หลังจากนั้นจะทรงตัว เพื่อรอเงินเฟ้อลง แต่ เศรษฐกิจถดถอย จะส่งผลกระทบต่อกำไรบจ. จึงมีการปรับลดประมาณการกำไรและราคาหุ้น ช่วงที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยสูงสุด มีโอกาสที่ตลาดหุ้นกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบ  รวมถึงตลาดหุ้นไทย แต่เงินทุนจะไหลออกมามากเพียงใด ขึ้นอยู่ความแข็งแกร่งของไทย ซึ่งการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเป็นบวก หลังจากติดลบมานานกว่า 1 ปี  และการท่องเที่ยวดีขึ้น ทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพดีขึ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนจะต้องระวังเงินต้น แต่สามารถเลือกซื้อหุ้นที่ใช่ ในราคาเหมาะสมเพื่อถือลงทุน รอโอกาสการฟื้นตัว”นายกอบศักดิ์กล่าว