ไทยเบฟฯเบอร์ 1 ของโลก หยุดซื้อธุรกิจใหญ่ เร่งคืนหนี้ 2 แสนล.

กลุ่มไทยเบฟฯ โชว์ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ DJSI เลือกให้เป็นที่ 1 ด้านความยั่งยืนของโลก ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ตอกย้ำความเป็นผู้นำครบวงจร ปักเป้าเบอร์ 1 เอเชีย ใกล้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ 2020 สร้างยอดขายในอาเซียน 50% หลังจากซื้อธุรกิจเบียร์อันดับหนึ่งของเวียดนาม และสุราอันดับหนึ่งของเมียนมา

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทไทยเบฟเวอเรจ ได้รับเลือกจาก DJSI ให้เป็นอันดับ 1 ของโลกในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และยังได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนในกลุ่ม DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 กลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจร พร้อมต่อยอดความสำเร็จอย่างยั่งยืนสู่ระดับโลก

“เรามีประสบการณ์ในวงการนี้มานานแล้ว แต่บริษัทไทยเบฟเวอเรจเพิ่งจัดตั้งขึ้นมา 15 ปี หากเปรียบเทียบทางด้านยอดขาย สำหรับบริษัทเครื่องดื่มทั่วไป ในเอเชีย เราอยู่อันดับที่ 5 ยอดขายรม 8,800 ล้านดอลลาร์ เป็นรองบริษัทญี่ปุ่น 3 อันดับแรก และจีนอีก 1 บริษัท แต่หากปรียบเทียบมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคป ที่ราคาหุ้นละ 72 เซนต์ เราอยู่อันดับที่ 4 มูลค่า 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ อันดับหนึ่งคือ คิริน โฮลดิ้งส์ 2.37 หมื่นล้านดอลลาร์” นายฐาปนกล่าว

สำหรับเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเป็นแผนดำเนินงาน 6 ปี (2558-2563) บริษัทจะมียอดขายในอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็น 50% เท่ากับตลาดในประเทศไทย จากปัจจุบันตลาดอาเซียนมีสัดส่วน 36% ตลาดนอกอาเซียน 4% ที่เหลือเป็นของไทย

บริษัทให้ความสำคัญกับอาเซียนในการขยายตลาด โดยเฉพาะ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียมมาและเวียดนาม) โดยมีความพร้อมทั้งเรื่องคน เรื่องทุนและสินค้า เห็นได้จากเครือข่ายธุรกิจในอาเซียนของไทยเบฟ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้รวมธุรกิจเบียร์อันดับหนึ่งของประเทศเวียดนาม และสุราอันดับหนึ่งของเมียนมา(Grand Royal Group)เข้ามาอยู่ในกลุ่มด้วย

กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า อาเซียนเป็นตลาดใหญ่ นอกจากมีจำนวนประชากรมากกว่า 600 ล้านคนแล้ว ยังมีกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก พร้อมที่จะใช้จ่ายดื่มกิน ที่สำคัญเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูง รวมถึงเป็นแหล่งลงทุนจากต่างประเทศด้วย คาดว่าในปี 2573 หรือ 2030 จะเป็นเขตเศรษฐกิจที่เติบโตเป็นอันดับ 4 ของโลก เป็น Growth Market เป็นโอกาสของธุรกิจ โดยเฉพาะตลาดเวียดนามและเมียนมา เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 7%

ปัจจุบัน กลุ่มไทยเบฟฯ มีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ 23-24% ในตลาดอาเซียนที่มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1.1 หมื่นล้านเหรียญ แบรนด์หลักๆ ได้แก่ เบียร์ช้าง ซาเบโก เป็นต้น ตลาดเบียร์ในเวียดนาม มียอดขาย 3 หมื่นล้านลิตร ส่วนในเมียนมา มียอดขาย 400 ล้านลิตร

นายฐาปน กล่าวอีกว่า บริษัทจะไม่มีการลงทุนหรือซื้อกิจการขนาดใหญ่เพิ่มเติม นอกจากการซื้อกิจการขนาดกลางหรือเล็ก และจะระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยตั้งงบลงทุนปี 2562-2563 ปีละ 5,000 ล้านบาทเป็นงบปกติ จะเร่งสร้างรายได้และเพิ่มกระแสเงินสด พร้อมจะเร่งคืนหนี้เงินกู้ที่มีอยู่ประมาณ 2.3 แสนล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 1.56 เท่า โดยในปี 2561 ออกหุ้นกู้จำนวน 2 ครั้ง คือในเดือน มี.ค. มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท อายุเฉลี่ย 6 ปี และเดือน ก.ย. วงเงิน 7.7 หมื่นล้านบาท อายุเฉลี่ย 5 ปี

ผลงานในช่วง 9 เดือนปี 2561 รายได้หลักคงอยู่ในธุรกิจเหล้า สัดส่วน 47.4% ธุรกิจเบียร์ 40.1% ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 7.2% และ ธุรกิจอาหาร 5.4%