ดาวโจนส์ปิดลบ 128 จุด จับตาประชุมเฟด

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 128 จุด หุ้นเทคร่วงฉุดดัชนี Nasdaq ลดลง 1.03% นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มในคืนวันอังคารและพุธนี้ คาดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% พร้อมเกาะติดรายงานผลประกอบการและตัวเลขจ้างงานเดือนต.ค.เผยแพร่ในวันศุกร์ ราคาน้ำมันดิบลดลง 1.37 ดอลลาร์ ฟากตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 31 ตุลาคม2565 ปิดที่ 32,732.95 จุด ลดลง 128.85 จุด หรือ 0.39% ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนและการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,871.98 จุด ลดลง 29.08 จุด, -0.75%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,988.15 จุด ลดลง 114.31 จุด, -1.03%

อย่างไรก็ตามในเดือนตุลาคมตลาดยังปิดบวกและเป็นเดือนที่ปรับขึ้นดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 13.95% ดัชนี S&P และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 8% และ 3.9% ตามลำดับ

นักลงทุนเตรียมพร้อมรับการประชุมของเฟดที่จะเริ่มขึ้นในวันอังคารและจะสิ้นสุดในวันพุธซึ่งคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% รวมทั้งยังรอการส่งสัญญานจากคณะกรรมการ FOMC และนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในการแถลงข่าวว่าจะชะลอการหรือลดการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ในอนาคตอันใกล้นี้

นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เฟดจะปรับขึ้นในขนาดใหญ่ ก่อนที่จะชะลอแผนการขึ้นดอกเบี้ย

ฌอง บอยแวง จาก BlackRock มองว่า เฟดดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวเกินไป และคาดว่าเฟดเช่นเดียวกับธนาคารกลางประเทศอื่นจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยเมื่อเห็นชัดเจนถึงผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยในขณะยนี้อยู่ในระดับที่จะทำให้เศรษฐกิจถดถอยได้

นักลงทุนยังเกาะติดการรายงานผลประกอบการ ซึ่งในสัปดาห์นี้ Uber, Pfizer and Advanced Micro Devices จะแจ้งผลการดำเนินงาน รวมไปถึงจับตาข้อมูลการจ้างงานเดือนตุลาคมที่จะเผยแพร่ในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าการจ้างงานจะต่ำกว่า 200,000 ราย แต่ใกล้ระดับเฉลี่ยรายเดือนก่อนการระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในวันที่ 8 พฤศจิกายน และกังวลว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้น

ผลการสำรวจของ PredictIt พบว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จากปัจจุบันที่พรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะส่งผลให้เป็นรัฐบาลที่เสียงแตก และลดโอกาสที่จะปฏิรูปขนานใหญ่ ซึ่งจะกระทบต่อหุ้นเทคโนโลยี หุ้นมีเดียและเอนเตอร์เทน และหุ้นพลังงาน แต่หุ้นวัสดุและเซมิคอนดักเตอร์จะได้รับผลบวก

หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ลดลง 6.09% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.59% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.30% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 1.85%
            

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มเดินทางและสันทนาการที่เพิ่มขึ้น 1.5% แม้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่สดใส โดยเงินเฟ้อเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวเล็กน้อย

GDP ยูโรโซนไตรมาสสามเพิ่มขึ้นเพียง 0.2%จากไตรมาสสอง และขยายตัว 2.1% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากที่เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาสสอง ส่วนเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้นจาก 9.9% ในเดือนกันยายน และสูงกว่า 10.2% ที่นักวิเคราะห์คาด
      
แต่ยอดค้าปลีกเยอรมนีเพิ่มขึ้น 0.9% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าที่คาดและช่วยให้เศรษฐกิจพ้นจากถดถอยได้

ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหภาพยุโรปจะยังต้องเร่งการขึ้นดอกเบี้ยต่อไป หลังจากที่ปรับขึ้นมาแล้ว 2% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

Moody’s Analytics คาดว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไตรมาสสี่

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 412.20 จุด เพิ่มขึ้น 1.44 จุด, +0.35%
      ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,094.53 จุด เพิ่มขึ้น 46.86 จุด, +0.66%
      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,266.77 จุด ลดลง 6.28 จุด, -0.10%
      ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,253.74 จุด เพิ่มขึ้น 10.41 จุด, +0.079%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 1.37 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 86.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 94 เซนต์ หรือ 0.98% ปิดที่ 94.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล