KLINIQ ผู้นำความงามครบวงจร -หุ้น High margin โตแรง

HoonSmart.com>>KLINIQ ผู้นำสุขภาพ-ความงามครบวงจร หุ้น High margin ลุ้นโตแรง 3 ปีต่อเนื่อง

ข้อมูลของสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน พบว่า มูลค่าตลาดของธุรกิจศัลยกรรมในประเทศไทย ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2565 คาดการณ์ว่าจะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 15-20% ต่อปี ซึ่งไทยนับเป็น 1 ใน 15 ประเทศ ที่มีการเสริมความงามมากที่สุุดในปี 2563 โดยพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุุกปี โดยกลุ่มคลินิกเสริมความงามที่ให้บริการครบวงจรทั้งการดูแลรักษาผิวพรรณ และศัลยกรรม มีแนวโน้มเติบโตมากกว่ากลุ่มที่เน้นการรักษาผิวพรรณเพียงอย่างเดียว

ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบัน บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ)  เป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมงามและสุขภาพแบบครบวงจร ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านเลเซอร์ผิวหนัง การยกกระชับและปรับรูปหน้า การดูแลรูปร่างและกระชับสัดส่วน ศัลยกรรมตกแต่ง รวมถึงการดูแลป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม ที่ทันสมัยตามหลักการแพทย์ ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและศัลยกรรมตกแต่ง ร่วมกับการใช้เครื่องมือทางการแพทย์และตัวยาที่ได้มาตรฐานสหรัฐอเมริกา ภายใต้แบรนด์ “เดอะคลีนิกค์” (THE KLINIQUE)

บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 13 ปี  ตัดสินใจเข้าตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) รายแรกในอุตสาหกรรมเสริมความงาม โดยเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น หรือ 27.27% ของทุนชำระแล้ว หุ้นละ 24.50 บาท  เปิดจองซื้อ 28 ต.ค. –  1 พ.ย. 2565  คาด จดทะเบียนใน mai เดือนพ.ย.นี้  ชื่อย่อ “KLINIQ” กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ

“นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ กล่าวว่า การระดมทุนในครั้งนี้  มีวัตถุประสงค์ นำเงินขยายสาขาคลินิกเวชกรรม ราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง คาดใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรมและจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติม ประมาณ 950 ล้านบาท คืนทุนภายใน 2-3 ปี ส่วนศูนย์ศัลยกรรม ใช้เงินลงทุนราว  150 ล้านบาท คืนทุนภายใน 3-4 ปี

นอกจากนี้ยังเตรียมนำเงินไปใช้สำหรับจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการแพทย์ ขยายกิจการศูนย์ศัลยกรรม และพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน โดยในส่วนของการพัฒนาระบบ IT งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 2566 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 270 ล้านบาท

“กลุ่มบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ ตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้นำที่ได้การยอมรับในระดับสากลด้านผิวหนังความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง รวมถึงการดูแลป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ ผ่านการใช้ยาและนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อความงามอันทันสมัยและครบวงจรที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มั่นใจว่าโมเดลธุรกิจ Asset Light และฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง หลังเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก”

อีกทั้งแบรนด์ THE KLINIQUE ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยม เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่มีกว่า 2 แสนราย ที่กลับมาใช้ซ้ำ ทำให้มี Recurring Income และจากแผนการขยายสาขา จะทำให้บริษัทฯเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 39 สาขา ครอบคลุม 15 จังหวัด ทั่ว 5 ภูมิภาคของประเทศไทย ได้แก่ คลินิกเวชกรรม 35 สาขา ศูนย์ศัลยกรรม 1 สาขา และร้านทำเล็บ 3 สาขา

หากพิจารณาภาพรวมผลการดำเนินงานของ KLINIQ ในปี 2562 – 2564 บริษัท มีรายได้จากการขายและการให้บริการรักษาพยาบาล จำนวน 975.84 ล้านบาท 1,000.55 ล้านบาท และ 949.93 ล้านบาท ตามลำดับ และงวด 6 เดือน 2565 มีรายได้จากการขายและการให้บริการรักษาพยาบาล จำนวน 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 263.13 ล้านบาท

ในปี 2562-2564 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 115.47 ล้านบาท 144.69 ล้านบาท 129.25 ล้านบาท 60.00 ล้านบาท และ 100.22 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิอยู่ในช่วงร้อยละ 11.66 – 14.34

ขณะที่อัตรากำไรขั้นในปี 2562 – 2564 งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 565.23 ล้านบาท 594.00 ล้านบาท 558.77 ล้านบาท 263.34 ล้านบาท และ 408.70 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 57.92 ร้อยละ 59.37 ร้อยละ 58.82 ร้อยละ 58.31 และร้อยละ 57.18 ตามลำดับ

จากข้อมูล จะเห็นว่า KLINIQ เป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพในการทำกำไรขั้นต้นในระดับสูง และเมื่อเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านแหล่งเงินทุน ขณะเดียวกันบริษัทฯมีแผนจะขยายสาขามากขึ้น ดังนั้น น่าจะทำให้ความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

นอกจากนี้ จะเห็นว่า ยังเป็นบริษัทฯมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจด้วยกระแสเงินสดในมือ และไม่มีภาระเงินกู้จากสถาบันการเงิน หรือไม่มีหนี้ที่มีภาะดอกเบี้ยโดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2565 มีเงินสดที่ 90 ล้านบาท เป็น Debt Free Company โดยทำให้บริษัทได้เปรียบในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และดอกเบี้ยขาขึ้น อีกทั้งบริษัทฯมีความยืดหยุ่นในโครงการใหม่ๆเพิ่มเติมในอนาคต

เมื่อพิจารณาจากการประเมินราคาหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้น KLINIQ ในกรอบราคาเป้าหมาย 26-34 บาท/หุ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า จุดเด่นของ KLINIQ อยู่ที่ประสบการณ์ผู้บริหาร และการบริการที่มีมาตรฐานทั้งบุคลากร และเครื่องมือทันสมัยทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าตลอด 13 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งชอบจุดแข็งจากฐานลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลาง-บน มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ และราคาค่าบริการค่อนข้างต่ำ และยังเป็นธุรกิจที่เกิดความถี่ในการเข้ารับบริการซ้ำ และต่อเนื่อง

บริษัทฯมีแผนขยายสาขาราว 6-10 สาขาต่อปีและมีการลงทุนเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง คาดกำไรสุทธิ 2565 จะฟื้นตัวแรงเติบโต 50.5%จากงวดเดียวกันปีก่อนจากการกลับมา Reopen และคาดกำไร 3 ปี ข้างหน้าโตเฉลี่ย 24.5% CAGR โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 เท่ากับ 28 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ พาย  ระบุว่า บริษัทฯมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี2565 สนับสนุนจาก (1) การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อแข็งแกร่งขึ้น (2) ผลกระทบจากโรคระบาดโควิด 19 คลี่คลาย และการเปิดประเทศทำให้อุปสงค์ที่ตกค้าง (pent-up demand) จากทั้งผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และ (3) การขยายสาขาใหม่ โดยบริษัทฯจะเปิดสาขาใหม่ 2 แห่งในครึ่งปีหลัง ขณะที่จะเปิดเพิ่ม 9 สาขาในปี 2565 และ 8 สาขา ในปี 2567 (2) ธุรกิจเสริมความงามขยายตัว 8% CAGR (2565-2574)

จากการเปิดเผยข้อมูลของ KLINIQ คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 60% ในปี 2565 และขยายตัวต่อเนื่อง 45-34% ในปี 2565-2567 จาก (1) ยอดขายเติบโต33% CAGR (2565-2567) (2) อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวสูง 59%/60%/60% ในปี 2565-25674 (3) ธุรกิจเสริมความงามเติบโตแข็งแกร่ง

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า KLINIQ เป็นบริษัทฯที่มีความสามารถทำกำไรสุทธิในอัตราการเติบโตระดับสูงจากนี้ไปอีก 3 ปีต่อเนื่อง ซึ่งจะเติบโตระดับ 30-60% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในระดับเฉลี่ย 59-60% ดังนั้น หุ้น KLINIQ จึงเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติครบหุ้น High margin อย่างแท้จริง