แฉเหตุถล่ม JWD 2 วัน ดิ่ง 15% ‘แพง-เน็ทมาร์จิ้นหด-กลัวเจ้าของชิ่ง’

HoonSmart.com>>ตื่นหาต้นเหตุกระหน่ำหุ้น “เจดับเบิ้ลยูดี ฯ” 2 วันร่วง 14.8% วอลุ่มแน่นผิดปกติกว่า 700 ล้านบาท/วัน จากสตาร์ทวิ่งนำก่อนข่าวดีออก ดีลควบรวมกับ SCGL ฉุดอัตรากำไรสุทธิจาก 10% เหลือ 4% ผสมความกังวลเจ้าของเดิมจะขายหุ้นออก หลังถือต่ำกว่า “กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย” บล.ยูโอบีฯเผยช่วงสั้นไม่เหลือ Upside ราคาควรอยู่แถว 18-20 บาท  Synergy จะส่งผลดีระยะยาว  

นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างควานหาเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้น บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) ลงแรงผิดปกติ ในการซื้อขายหุ้นวันที่ 27-28 ต.ค.2565 ปิดที่ 18.40 บาท ร่วง 3.20 บาทเท่ากับ 14.8% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 700 ล้านบาท/ วัน จากที่ผ่านมามีการเปลี่ยนมือวันละ 100 ล้านบาทเท่านั้น

สาเหตุเกิดจาก sale on fact เพราะมีแรงเก็งกำไรล่วงหน้า 3 วัน (21,25-26 ต.ค.) ราคาเพิ่มขึ้นมา 8% จากระดับ 20 บาทขึ้นมาปิดที่ 21.60 บาท ก่อนหน้าที่จะประกาศดีลควบรวมกิจการกับบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ (SCGL) บริษัทในกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย(SCC) รวมถึงผลกระทบจาก JWD จะต้องเพิ่มทุนมากถึง 791 ล้านหุ้น แลกกับหุ้นของ SCGI มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท โดยผู้ถือหุ้นเดิมของ SCGI เข้ามาถือหุ้นทั้งสิ้น 42.9%

นอกจากนี้ SCGI ยังมีอัตรากำไรสุทธิต่ำเพียง 2.91% จากผลงานปี 2564 ที่มีรายได้สูงถึง 20,447 ล้านบาท แต่กลับมีกำไรเพียง 595 ล้านบาท และครึ่งปีแรก 2565  มีอัตรากำไรสุทธิ 2.59% จากรายได้จำนวน 11,532 ล้านบาท กำไรเพียง 299 ล้านบาท ขณะที่ JWD ทำอัตรากำไรสุทธิได้ดีกว่า เกิน 10% เมื่อรวมกันแล้วจะมีอัตรากำไรสุทธิเหลือเพียง 4.09%ในครึ่งแรกปี 2565 และในปี  2566 ในการควบรวมกิจการ

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทุบราคาหุ้น JWD อย่างหนักหน่วง เกิดจากคำถามของนักวิเคราะห์ ห่วงว่า เจ้าของเดิมจะขายหุ้นออกไหม หลังจากเหลือหุ้นเพียง 31.8% ต่ำกว่ากลุ่ม SCC โดยกลุ่มบัณฑิตกฤษดาเหลือสัดส่วน 23.4% และกลุ่มนิมิตรปัญญา ถือ 8.4% หากขายหุ้นออกไปจริง จะมีผลกระทบต่อความสามารถในการเติบโตของธุรกิจ JWD  ซึ่งผู้บริหารและเจ้าของมีความชำนาญในธุรกิจบริหารจัดการ ยานยนต์และสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็ง  จึงฉุดราคาหุ้นในช่วงสั้น

อย่างไรก็ตาม ดีลควบรวมกิจการครั้งนี้จะส่งผลบวกระยะยาว สร้างความแข็งแกร่งให้กับ  JWD หรือชื่อใหม่เป็น SCGJWD ก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน  ที่ผ่านมา JWD มีการใช้เงินกู้ และการออกหุ้นกู้สูงมาก เพื่อนำมาซื้อกิจการ จนธุรกิจเติบโตเร็วมาก แต่ปัจจุบันการเงินเริ่มตึงตัว  เมื่อได้พันธมิตรที่แข็งแกร่ง อย่าง SCC ฐานะการเงินดีและที่สำคัญมีทรัพยากรที่ดี ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองโดยเฉพาะกับคู่ค้า และลดต้นทุนทางการเงินลง รวมถึงได้ธุรกิจทั้งเครือปูนซิเมนต์ไทยมาเป็นลูกค้า สร้างกระแสรายได้ที่มั่นคงยิ่งขึ้น  ก่อนหน้านี้ SCGI มีรายได้จากธุรกิจในเครือปูนใหญ่สูงถึง 65%

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น JWD ปรับตัวลงมาให้เหมาะสมกับความเป็นจริง ที่ควรอยู่แถว 18-20 บาท หรือลดลงประมาณ 20-30% เทียบกับราคาหุ้นที่ SCGL แลกที่ระดับ 24.02 บาท ซึ่งบวกพรีเมียม ผู้ซื้อและผู้ขายพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่จะต้องติดตามดูว่าการ Synergy กันแล้วจะก่อให้เกิดข้อดีตรงไหนบ้าง

“ราคาหุ้น JWD ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว จากเดิมเทรดที่ P/E กว่า 20 เท่า ขึ้นมาเทรด P/E 30-40 เท่า ช่วงสั้นไม่มี Upside เท่าไร และราคาดีลที่ 24 บาท มีการรวมพรีเมียม มองผลระยะยาว”นายกิจพณกล่าว

บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ”ซื้อ”หุ้น JWD ดีลการรวมกิจการกับ SCGL สามารถเกิด Synergy ได้ทันที เพราะธุรกิจไม่ซ้ำซ้อนกันมีฐานลูกค้าต่างกัน SCGL เน้นวอลุ่มจากการขนส่งเป็นหลัก จึงมีมาร์จิ้นต่ำและมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่มี SCC ช่วยหนุนเป็นอย่างดี และแข็งแรงในตลาดอาเซียน ขณะที่ JWD เน้นบริการที่มีมาร์จิ้นสูง  ทำตลาดที่อยู่อาศัยความชำนาญเฉพาะด้าน เช่น Cold chain, Smart warehouse, Self-storage เป็นต้น จึงคาดว่า SCGJWD จะมีกำไรปี 2566 ที่ 1.17 พันล้านบาท ก้าวกระโดดจากปี 2565 ที่มีเฉพาะ JWD ที่ 599 ล้านบาท ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 26 บาท

บล.หยวนต้าแนะให้รอสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวแถว 18.8-19 บาท ให้เป้าหมายปีหน้าที่ 22.30 บาท หลังปรับประมาณการกำไรขึ้น 17% เป็น 743 ล้านบาทเติบโต 17.5%  จากปีนี้ที่คาดไว้ 632 ล้านบาท โต 20%

นักวิเคราะห์หลายรายคาดว่า JWD ยังมีกำไรนิวไฮต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3/2565 เป็นจุดเด่นให้ราคาหุ้นตีกลับ ยืนเหนือ 20 บาทได้ในช่วงสั้น  จากรายได้ท่าเรือให้บริการจอดรถยนต์ที่เติบโต ซึ่งบริษัทไม่ได้ทำธุรกิจโลจิสติกส์ทั่วไป ที่อยู่ในช่วงอ่อนลงหลังผ่านจุดสูงสุดในปี 2564 ที่ผ่านมา ดังนั้นราคาหุ้นที่ปรับตัวลง มองเป็นจังหวะในการทยอยสะสม เพราะมั่นใจว่าหากควบรวมกิจการเสร็จในปี 2566  กลุ่ม SCC สามารถพลิกโฉมใหม่ให้กับ JWD เหมือนกรณีการเข้าไปซื้อหุ้น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) จำนวนกว่า 30% ในราคาหุ้นละ 14 บาท เมื่อปี 2555  ผลักดันให้ขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศ กำไรเติบโตก้าวกระโดด