ฟินโนมีนาเปิดตัว 3 พอร์ตใหม่ 3 บลจ. เพิ่มทางเลือกลงทุนฝ่าความผันผวน

HoonSmart.com>> “ฟินโนมีนา” เปิดตัว 3 พอร์ตใหม่จาก 3 บลจ.ชั้นนำ ผ่านโครงการ Fund House Port เพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน ท่ามกลางตลาดการลงทุนผันผวน “บลจ.ไทยพาณิชย์” ชู “ยืดหยุ่น-หลากหลาย-กระจายเสี่ยง” ฟาก “บลจ.ยูโอบี” แนะเปลี่ยนธีมลงทุนแห่งอนาคตให้เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม ด้าน “บลจ.บางกอกแคปปิตอล” ชูกลยุทธ์ลงทุนแบบยืดหยุ่น ผ่านการทำ Tactical Asset Aollcation “รู้ทันสถานการณ์ สร้างความมั่งคั่ง”

นายกสิณ สุธรรมมนัส CEO & Co-Founder บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัว สร้างแรงกดดันให้ธนาคารกลางต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวทั่วโลก และกดดันให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศ อาทิ กรณีรัสเซียกับยูเครนและจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลให้ความผันผวนในทุกๆ สินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ในสภาวะที่ตลาดการลงทุนมีความผันผวนเช่นนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยบริหารพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญที่มาจากสถาบันการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ ทางฟินโนมีนาเล็งเห็นโอกาสนี้ จึงเกิดโครงการ “Fund House Port” เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการคำแนะนำการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญของบลจ.ชั้นนำโดยเฉพาะ โดยทั่วไปแล้วการจะเข้าถึงบริการจากผู้เชี่ยวชาญการลงทุนของสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เพียงใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท ก็สามารถเข้าถึงบริการสุดพิเศษนี้ได้ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม”นายกสิณ กล่าว

“Fund House Portfolio” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อต้นปี 2563 เป็นพอร์ตการลงทุนที่บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ชั้นนำในประเทศไทย 5 แห่ง ได้แก่ บลจ.อเบอร์ดีน, บลจ.กรุงไทย, บลจ.กรุงศรี, บลจ.ทิสโก้ และ บลจ.อีสท์สปริง โดยนักลงทุนจะได้รับคำแนะนำจากบลจ.อย่างชัดเจนว่าต้องลงทุนในกองทุนอะไร สัดส่วนเท่าไร พร้อมทั้งมีการอัปเดตอย่างทันท่วงทีเมื่อถึงเวลาต้องปรับพอร์ตเนื่องจากสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป

สำหรับจุดเด่นของแต่ละพอร์ตมีดังนี้ Aberdeen Single Blended Portfolio จากบลจ.อเบอร์ดีน นำเอานวัตกรรม Quant ผนวกกับทีมผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเภทสินทรัพย์ มาเฟ้นหาผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ, Krungthai Belief Allocation จากบลจ.กรุงไทย ลงทุนบนวิสัยทัศน์ของนักกลยุทธ์ซึ่งแสวงหาโอกาสทำกำไรจากความรู้ทางการเงิน ข้อมูลตลาด และวิธีคิดอย่างมีตรรกะ

Krungsri The Masterpiece จากบลจ.กรุงศรี พอร์ตที่จับกระแสการลงทุนรอบโลก มองจากมุมกว้างแบบ Bird Eye View , TISCO Omakase Extra Fund จากบลจ.ทิสโก้ พอร์ตที่มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยให้ได้ 7% ต่อปีในระยะยาว และ Quality Mega Theme Portfolio จากบลจ.อีสท์สปริง พอร์ตที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวไปกับ Mega Trend ของโลกในยุคถัดไป

นายกสิณ กล่าวว่า จากกระแสการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนทำให้โครงการ Fund House Port ในปัจจุบันมียอดลงทุนแล้วกว่า 200 ล้านบาท ขณะที่ผลตอบแทนของแต่ละพอร์ตในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับกลางๆ และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนให้ครอบคลุมมากขึ้นในปี 2565 นี้ ฟินโนมีนาจึงเปิดตัว 3 พอร์ตการลงทุนใหม่จาก 3 บลจ.ชั้นนำ ได้แก่ บลจ.บางกอกแคปปิตอล, บลจ.ไทยพาณิชย์ และบลจ.ยูโอบี

สำหรับจุดเด่นของแต่ละพอร์ตมีดังนี้ BCAP Dynamic Wealth Portfolio จาก บลจ.บางกอกแคปปิตอล พอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ซึ่งเน้นความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงและสร้างโอกาสการลงทุนในระยะสั้น-กลาง โดยการเสริมพอร์ตด้วยกองทุนที่มีความยืดหยุ่นสูงอย่าง BCAP Global Tactical

SCB Grow Together จากบลจ.ไทยพาณิชย์ พอร์ตเน้นความยืดหยุ่น มีความหลากหลายของสินทรัพย์ที่คัดเลือกเข้ามาเพื่อกระจายความเสี่ยง ผสมผสานการวิเคราะห์เชิงปริมาณและ Top Down & Bottom Up

Thematic United จากบลจ.ยูโอบี พอร์ตลงทุนที่ตั้งเป้าหมายสร้างการเติบโตระยะยาวบนธีมการลงทุนแห่งอนาคตที่น่าสนใจ โดยจะเลือกธีมลงทุนที่โดดเด่นด้วยมุมมองจากการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม เทคโนโลยี และกฏเกณฑ์การประกอบธุรกิจทั่วโลก

“ท่ามกลางสภาวะตลาดการลงทุนที่ผันผวน การมีตัวช่วยเป็นผู้เชี่ยวชาญจาก บลจ. ชั้นนำ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนจัดพอร์ตได้อย่างสบายใจ”นายกสิณ กล่าว

FINNOMENA แพลตฟอร์มการลงทุนในกองทุนรวมแบบครบวงจร ปัจจุบันมีลูกค้า 2 แสนราย มียอดเงินลงทุนรวมกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท และในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนจะซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีน่าจะทำให้เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เติบโตสองเท่าจากปีก่อนมียอดขายกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีจำนวน 2,000 ล้านบาท รวมทั้งมองเห็นโอกาสจากลูกค้าที่มีเงินก้อนพร้อมจัดพอร์ตลงทุน หลังเห็นราคาหุ้นหลายตลาดปรับตัวลดลงมาก

 
 

SCBAM ชู “ยืดหยุ่น-หลากหลาย-กระจายความเสี่ยง”

นายปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า พอร์ตที่นำเสนอ Multi-asset Strategy เน้นความยืดหยุ่นในการปรับน้ำหนักระหว่างสินทรัพย์ เน้นความหลากหลายเลือกลงทุนได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ เน้นกระจายความเสี่ยงในสินทรัพยหลายประเภท เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน

ปัจจุบันพอร์ตลงทุน SCB Grow Together มีน้ำหนักในตราสารหนี้ระยะสั้น 40% และอีก 60% เป็นสินทรัพย์เสี่ยง ได้แก่หุ้นที่มีความผันผวนต่ำ, หุ้นเฮลธ์แคร์,หุ้นจีน หุ้นเวียดนามและทองคำ ซึ่งมองหุ้นจีนและเวียดนามปรับตัวลดลงมามาก ขณะที่ราคา โดยเฉพาะหุ้นเวียดนามไม่แพงเมื่อเทียบอดีต แต่ในภาพการเติบโตเศรษฐกิจ IMF ยังมองเวียดนามโต 6-7% ในภาวะที่ทุกคนกลัวเศรษฐกิจถดถอยและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตสูง การมองสวนตลาดก็มีโอกาส

“พอร์ตลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงน้อย แต่นักลงทุนก็ต้องรับความเสี่ยงได้ ขณะเดียวกันเราพยายามบริหารจัดการความเสี่ยงของพอร์ต การช่วยลดความเสี่ยงได้คือการลงทุนระยะยาว 3 ปีสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจโลก จากปีหน้าที่มีความเสี่ยงถดถอยและปีถัดไปเริ่มฟื้นตัว”นายปิยะภัทร์ กล่าว

สำหรับภาพในปี 2566 อยากเห็นนักลงทุนทั่วโลกกลับมาโฟกัสปัจจัยพื้นฐาน การเติบโตของภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันหลายอุตสาหกรรมยังมีการเติบโต มีดีมานด์ ทั้งเฮลธ์แคร์และ EV แต่ถูกภาพใหญ่ เงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางกดดันในปีนี้

“หุ้นที่ปรับตัวลงมาเราอาจต้องทนต่อ บอกยากต่ำสุดตรงไหน แต่หุ้นสะท้อนภาพไปไวตั้งแต่ต้นปี แต่การจะฟื้นก็ไม่ได้เร็ว จากดอกเบี้ยขาขึ้น กำไรบริษัทจดทะเบียนในหลายประเทศเริ่มถูกหั่นลงจากนักวิเคราะห์ ดังนั้นการฟื้นจึงยังไม่เร็วนัก แต่อยากให้มองภาพระยะยาวยังมีโอกาส ซึ่งในส่วนของเงินเฟ้อน่าจะคลี่คลายปลายไตรมาส 1/66 ขณะที่ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวก่อน ก็หวังตลาดจะกลับมา”นายปิยะภัทร์ กล่าว

 
 
“ยูโอบี” เปลี่ยนธีมลงทุนแห่งอนาคตให้เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมปัจจุบัน

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า เราอยากสร้างความแตกต่างและมีแนวคิดการลงทุนที่่ต่าง โดยนำเสนอ Multi-Theme Porfolio กระจายลงทุนธีมหุ้นกลุ่มอนาคตกระจายลงทุนได้ระยะยาว แต่การเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แม้เป็นการลงทุนในธีมแห่งอนาคตก็ต้องเลือกให้เหมาะสมทั้งในระยะสั้นกลางและระยะยาว ด้วยการผสมผสานธีมต่างๆ เข้าด้วยกันในสัดส่วนที่เหมาะสมกับภาวะตลาด

ปัจจุบันพอร์ตลงทุนในธีมลงทุนที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายด้านสังคม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีสัดส่วน 10-30% ต่อธีมและมีการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหลากหลาย เป้าหมายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตให้อยู่ในกรอบเป้าหมายและเลือกสินทรัพย์ที่สามารถ Hedge Portfolio ได้ในเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อ Strategy อื่นๆ พอร์ตลงทุนในไตรมาส 4/2565 ลงทุนใน 5 ธีม ได้แก่ Energy Transition 30% , ลงทุน Healthcare Innovation 20% , ลงทุน Disruptive Technology 20% , ลงทุน Industrial Revolution 20% และลงทุน Consumer Evolution 10%

“เราเชื่อว่า 5 ธีมการลงทุนนี้มีโอกาสไปต่อ จึงเชื่อว่า Thematic UNITED น่าจะเป็นหนึ่งใพอร์ตโฟลิโอที่ตอบโจทย์ลงทุนหุ้นทั่วโลกได้ หรือใครที่อยากลงทุนในธีมที่ปรับเปลี่ยนพอร์ตลงทุนได้ โดยมีเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนประมาณ 8-10% ต่อปีจากหุ้นและ Alpha 3-5%”ดร.จิติพล กล่าว

สำหรับการลงทุนที่เหมาะสมระยะเวลา 3 ปี สอดคล้องกับภาพรวมของวัฎจักรธุรกิจ 3 ปี และกรอบการถือลงทุนได้สั้นกว่าเดิมจากการกระจายลงทุนในธีม Up trend หรือหากสามารถทยอยลงทุนรายเดือนหรือรายไตรมาสได้น่าจะดี

นอกจากนี้มองภาพปี 2566 โอกาสเกิดเทรดวอร์ 70-80% ทั้งการเมืองในสหรัฐฯ และหลายประเทศ รวมถึงการเมืองในประเทศที่จะมีการเลือกตั้ง การดำเนินนโยบายลำบากภายใต้เงินเฟ้อสูง ซึ่งการเลือกตั้งในหลายประเทศ มีบางจุดที่น่าจะได้ประโยชน์และบางบางจุดเสียประโยชน์จึงต้องเลือกธีมการลงทุนที่ดี และต้องดูว่าการฟื้นตัวในรอบนี้จะมาจากสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าประจำ

ดร.จิติพล กล่าวว่า หุ้นยังมีความเสี่ยง แต่ตราสารหนี้ผลตอบแทนเริ่มดีในบางกลุ่มและน่าสนใจ อยู่ที่เราจะเลือกลงทุนบนความเสี่ยงที่ผลตอบแทนเหมาะสมได้หรือไม่ สามารถเลือกซื้อได้ เช่น หุ้นเอเชียน่าสนใจ นักท่องเที่ยวเริ่มฟื้น ส่วนยุโรปและสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นโยบายการเงินจบตรงไหน หากจบรอบนี้อาจมีภาคสอง อาจต้องระมัดระวัง ต้องเลือกกลุ่ม และยุโรป กลุ่มพลังงาน 5-10 ปีจะมีการลงทุนค่อนข้างสูง น่าสนใจ

“เรามองจังหวะนี้สามารถเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้ แต่ทุกครั้งที่ลงทุนไม่แนะนำให้ดูพอร์ตขาดทุนจากอดีต ซึ่งต้องดูว่าในพอร์ตยังเป็นหุ้นอนาคตหรือไม่ ถ้าใช่ถือต่อ แต่ถ้าภาพเปลี่ยนแนะนำให้เปลี่ยนแต่จุดอ่อนในการโยกซื้อ หากเป็นหุ้นจีน อาจเลือกจีนใหม่ที่ดีกว่าเดิม”ดร.จิติพล กล่าว
 
 
BCAP ชู Dynamic Wealth Porfolio รู้ทันสถานการณ์ สร้างความมั่งคั่ง

ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล กล่าวว่า

พอร์ตที่นำเสนอเป็นที่เดียวในไทยที่บริหารพอร์ตกองทุนรวมแบบ Look-Through จากการลงทุนใน 6-7 กองทุนของ BCAP แต่ใส้ในกระจายลงทุน Offshore fund 62 กองทุน 31 หุ้นไทยและ 41 บอนด์ โดยมีการปรับพอร์ตการลงทุนต้นทางตามสภาวตลาดแม้นักลงทุนไม่ได้ Rebalance กองทุนรวม รวมทั้งติดตามความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

“ไม่มีพอร์ตไหนตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกคน แต่เราประเมินกลุ่มลูกค้าฟินโนมีนาไม่ได้ Conservative ซึ่งในพอร์ตมีความผันผวนมีการเติบโตในะระยะยาว หุ้นในพอร์ตประมาณ 50% และเพิ่มสินทรัพย์บางอย่างที่ลูกค้าลงทุนตรงเองอาจไม่ได้ เช่นเฮดจ์ฟันด์แต่สัดส่วนน้อย โดยระยะเวลาลงทุนที่เหมาะสม 3-5 ปี”ดร.ธนาวุฒิ กล่าว

พร้อมกันนี้มองปี 2566 เป็นโอกาสลงทุน เพราะปัญหาเงินเฟ้อรับรู้กันแล้ว ซึ่งความไม่แน่นอนในตลาดเริ่มชัดเจนและคลี่คลาย แม้ปัญหาไม่จบก็ต้องเห็นภาพ ก็สามารถฟื้นตัวได้ ตอนนี้เราแค่รอความชัดเจน ซึ่งหุ้นจีนและเวียดนามยังน่าสนใจและอีกหลายประเทศ ขณะที่หุ้นจีนมองราคาสะท้อนภาพลบไปมากแล้ว หาจังหวะในหุ้นที่ปรับตัวลงมาก

ส่วนเทรดวอร์มองเป็นกลยุทธ์ของสหรัฐและจีนมากกว่า และยังคงอยู่ต่อไป ดังนั้นการปรับพอร์ตต้องวางหมากระยะยาว

“แนะนำให้ชะลอลงทุน รอโอกาสเปิด เมื่อใช่ค่อยเข้าไปลงทุน ซึ่งปีนี้ยังไม่น่าเข้าลงทุน”ดร.ธนาวุฒิ กล่าว