HoonSmart.com>> รุ่งเรืองตลอดไป (GLORY) ออกวอร์แรนต์ 135 ล้านหน่วย จัดสรรผู้ถือหุ้นเดิม อัตรา 2 ต่อ 1 อายุใช้สิทธิ 5 ปี จ่อขึ้น XW วันที่ 28 ต.ค.นี้ รองรับแผนระดมทุน 5 ปี กรุยทางสู่ “Startup โฮลดิ้ง คอมพานี” ด้าน CEO “จรัญพัฒณ์ บุญยัง” ส่งสัญญาณเชิงบวก Q3/65 ส่อแววสดใส หลังลงทุน Startup 2 แห่ง “DD II – INFINITY” ฉลุย ทยอยบุ๊กรายได้ไตรมาสนี้ ย้ำ 4 กลุ่มไลน์ธุรกิจดันรายได้ปี 65 โต 20-50%
นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป (GLORY) หรือ Startup ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ (Startup Platform Online) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ล่าสุด มีมติอนุมัติให้บริษัทออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (GLORY-W1) จำนวน 135 ล้านหน่วย โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 2 หุ้นสามัญ ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ซึ่งมีอายุใช้สิทธิ 5 ปี สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพได้ทุกปี มีอัตราการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญที่ราคาหุ้นละ 1 บาท โดยจะขึ้น XW (วันที่ไม่ได้รับสิทธิซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ) ในวันที่ 28 ต.ค.2565 และจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ (Record date) ในวันที่ 31 ต.ค.2565 นี้
สำหรับวัตถุประสงค์ของการออกวอร์แรนท์ (Warrant) GLORY-W1 ในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการเตรียมความพร้อม และสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินในการขยายธุรกิจในอนาคต และสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ ทั้งนี้ หากผู้ถือหุ้นใช้สิทธิแปลงสภาพทั้งหมด บริษัทฯก็จะได้เงินระดมทุนจำนวน 135 ล้านบาท ซึ่งจะใช้รองรับการขยายธุรกิจในช่วงระยะเวลา 5 ปี
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมองแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2565 ว่า จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะมีการรับรู้ผลประกอบการจากบริษัท Startup 2 บริษัท ได้แก่ INFINITY TO INFINITY (INFINITY) เป็นบริษัท Startup ด้าน Cyber Security ครบวงจร ซึ่งบริษัทได้เข้าลงทุนไปในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และบริษัท ดีดี-ทวินวัน จํากัด (DD II) เป็นบริษัท Startup ด้าน Healthcare & Lifestyle Business ซึ่งบริษัทฯได้เข้าลงทุนไปในช่วงปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา โดยผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัท จะเข้ามาเสริมตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทฯได้ลงทุนใน DD II ในช่วงที่มีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดแล้ว และมีการรับรู้รายได้เกิดเข้ามาทันที ส่งผลให้สร้างรายได้ให้กับ GLORY ทันทีในไตรมาส3/2565 เป็นต้นไป
ขณะที่ INFINITY ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการขยายทีมงาน เพื่อรองรับงานที่จะเข้ามามากขึ้นในอนาคต คาดว่าในช่วงไตรมาส 2/2566 จะมีการรับรู้ผลประกอบการจาก INFINITY ชัดเจน ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัทฯเชื่อว่าภาพรวมของรายได้จะสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 20-50% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 93.43 ล้านบาท จากการขับเคลื่อนผ่าน 4 กลุ่มไลน์ธุรกิจ โดยประกอบด้วย 1.Main Business (กลุ่มธุรกิจเดิม คือ Startup Platform ประเภทวรรณกรรมออนไลน์ ได้แก่ Kawebook.com และ Jinovel.com ), 2.Main Business Prototype (การต่อยอดจากธุรกิจเดิม), 3.New Production Line Prototype (กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เช่น กลุ่มเกมส์ ที่เตรียมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 1/2566 ) และ 4.Startup & SME Investment (การร่วมลงทุนในธุรกิจที่เป็นเทรนด์ในอนาคต) โดยปัจจุบันบริษัทฯมีการศึกษาขยายการลงทุนในทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งด้วยกระแสเงินสดที่มีอยู่ในระดับสูง ประกอบกับบริษัทไม่มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2/2565 บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ระดับ 0.06 เท่า
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากความสำเร็จในการเข้าลงทุนใน 2 บริษัทในกลุ่ม Startup ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ มีแผนศึกษาการเข้าลงทุน กลุ่มธุรกิจ Startup เพิ่ม ซึ่งขณะอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาในเบื้องต้นแล้ว 2 บริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจ Media (สื่อ) และกลุ่มธุรกิจ Tech (เทคโนโลยี) โดยแผนการลงทุนดังกล่าว บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมนำเสนอต่อคณะกรรมการ อย่างเร็วที่สุดคือภายในเดือนพ.ย.นี้
บริษัทฯมองโอกาสลงทุนในกลุ่ม Startup เนื่องจากมองว่าธุรกิจในกลุ่มดังกล่าว ยังมีแนวโน้มศักยภาพการขยายการเติบโตได้สูง เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค ดังนั้นจะมองเห็นโอกาสทางธุรกิจได้ดี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นผลเชิงบวกต่อการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทฯมองการเติบโตในอนาคต หลังจากที่เข้าลงทุนในกลุ่ม Startup ว่า ตั้งแต่ปี2566 บริษัทฯจะมีสัดส่วนรายได้จากการลงทุนในกลุ่ม Startup ที่ประมาณ 30 – 60% ซึ่งจะผลักดันภาพรวมอัตราการเติบโตของรายได้รวม ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป มีโอกาสเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-50% ซึ่งสอดรับกับแผนการปรับโครงการธุรกิจเพื่อก้าวสู่การเป็น “Startup โฮลดิ้ง คอมพานี”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป ยังได้กล่าวทิ้งท้ายถึงภาพรวมอุตสาหกรรมงานประเภทวรรณกรรมออนไลน์ว่า ตลาด Platform (แพลตฟอร์ม)ดังกล่าว มีอัตราเติบโตเฉลี่ยที่ประมาณ 14% ต่อปี ซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าตลาดภายในประเทศไทยก็ยังมีโอกาสเติบโตสูงเช่นกัน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้ จะมีอายุตั้งแต่ 18-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว ดังนั้น จึงถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นเทรนด์ของอนาคต