SCGP รุกเปิดตลาดเอเชียใต้-แอฟริกา ตั้งงบลงทุน M&P ปีหน้า 2 หมื่นล.

Hoonsmart.com>> “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” หรือ SCGP เผยนโยบายซีโร่โควิดของจีนส่งผลให้ผู้ผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียนแข่งขันสูงขึ้น เล็งขยายตลาดส่งออกใหม่ๆเพิ่มเติมสู่เอเชียใต้ และแอฟริกา ผู้บริหารชี้ยังเน้นนโยบายการควบรวมกิจการกับพันธมิตรชั้นนำศักยภาพสูง (Merger & Partnership : M&P) คาดปีนี้ใช้งบลงทุน 1.6 หมื่นล้านบาท และปี 66 เพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1.5 แสนล้านบาท

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP กล่าวถึงทิศทางของบริษัทในอนาคตว่า จากภาวะราคาพลังงานที่ยังทรงตัวในระดับสูง ค่าขนส่งและราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลง ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากราคาพลังงาน และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนจะได้รับผลกระทบจากนโยบายซีโร่โควิด สินค้าในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เคยส่งออกไปจีนก็มีการแข่งขันกันสูงเมื่อจีนปิดตลาด ขณะที่อาเซียนก็มีการเปิดประเทศมากขึ้น การบริโภคภายในประเทศไทยเองก็ดีขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง อาทิ เอเชียใต้ อินเดีย บังกลาเทศ รวมถึงตลาดในแอฟริกา

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ SCGP จำแนกตามประเทศจะมีรายได้จากการขายในประเทศไทย 41% ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน 41% ยุโรปและสหราชอาณาจักร 4% และประเทศอื่นๆ 14% และหากจำแนกตามผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร 82% ธุรกิจเยื่อและกระดาษ 16% และธุรกิจกระดาษรีไซเคิล 2%

นายวิชาญกล่าวว่า บริษัทมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ กลยุทธ์หลักในอนาคตจะมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการกับพันธมิตรชั้นนำศักยภาพสูง (M&P)  ในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก เพื่อให้ได้ผลบวกจากการควบรวมหรือเข้าลงทุน หรือเกิด Synergy ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้ว 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเงินลงทุน 8 พันล้านบาทใช้ในการลงทุน M&P คาดว่าในปี 65 ทั้งปีจะใช้เงินลงทุนรวม 1.6 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม การลงทุน M&P บางดีลยังดำเนินการอยู่และอาจเลื่อนไปได้ข้อสรุปในปีหน้า โดยบริษัทตั้งเป้าว่าในปี 66 จะใช้งบลงทุนรวมอีก 2 หมื่นล้านบาท

นายวิชาญกล่าวว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 112,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องภายใต้กลยุทธ์การควบรวมกิจการกับพันธมิตร (M&P) รวมถึงความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้นภายหลังที่มีการเปิดประเทศและสถานการณ์โควิด 19 เริ่มคลี่คลาย และมี EBITDA เท่ากับ 15,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสำหรับงวด 5,351 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง

สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 37,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% มี EBITDA อยู่ที่ 5,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และกำไรสำหรับงวด 1,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าที่สะท้อนต้นทุน ราคาเยื่อที่สูงขึ้นและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ของกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจจากการควบรวมกิจการบริษัทรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ Peute Recycling B.V. (Peute) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading Inc. (Jordan) สหรัฐอเมริกา

ภาพรวมของเศรษฐกิจอาเซียนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 จนถึงต้นปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการบริโภคภายในประเทศ การเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการสินค้าที่จำเป็นสำหรับการบริโภค เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงสินค้าอุปโภคอื่น ๆ สำหรับเทศกาลต่าง ๆ ในช่วงสิ้นปี  ซึ่งธุรกิจบรรจุภัณฑ์ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะตอบสนองความต้องการซื้อสินค้าของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับด้านการส่งออกของอาเซียน ยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการสินค้าคงทนลดลง รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้า ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ราคาพลังงานทั่วโลกยังทรงตัว อย่างไรก็ตาม ค่าขนส่งและต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (Recovered Paper : RCP) มีการปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565

ทั้งนี้ SCGP มั่นใจว่า ในปี 2565 จะมีรายได้จากการขาย 150,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์เพื่อรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ได้แก่

  1. มุ่งการเติบโตด้วย M&P ผสานความร่วมมือเสริมแกร่งธุรกิจ (Synergy) ทั้งด้านการขยายฐานลูกค้า ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบรับความต้องการที่หลากหลายและครอบคลุม การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การพัฒนานวัตกรรมด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ การจัดหาวัตถุดิบร่วมกัน และร่วมกันพัฒนาช่องทางขยายลูกค้าไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโตสูง อย่างการลงทุนใน Jordan เมื่อไตรมาสที่ 3 นี้ จากแผนการดำเนินธุรกิจ SCGP จะผสานการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง Jordan และ Peute เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการขยายฐานการจัดหาวัตถุดิบรีไซเคิลในต่างประเทศ ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบกล่องกระดาษใช้แล้วคุณภาพสูงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ช่วยเพิ่มคุณภาพกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษได้โดยตรง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจของ SCGP ให้กับเครือข่ายรีไซเคิลในภูมิภาคอาเซียน Peute ในยุโรป และ Jordan ในสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับขีดความสามารถการดำเนินงานต่อไปได้ด้วย
  2. บริหารต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Operational excellence) พร้อมพัฒนานวัตกรรม เพิ่มโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ดำเนินการบริหารจัดการเงินสด งบประมาณการลงทุน (CAPEX) และการพิจารณาลงทุนตามกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ รอบคอบ รัดกุม รวมทั้งการเพิ่มความสามารถและศักยภาพในการจัดการภายในองค์กรที่สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งยังมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมและโซลูชัน ด้วยงบประมาณวิจัยและพัฒนาร้อยละ 0.3 ของรายได้ใน 9 เดือนแรกของปีนี้ รวมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรในการส่งมอบนวัตกรรมและโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภค โดยล่าสุด SCGP ร่วมกับ 3 พันธมิตรผู้จัดจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของไทย เพื่อนำผลิตภัณฑ์วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์จาก Deltalab ขยายตลาดในประเทศและภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อรองรับเทรนด์สุขภาพที่เติบโตสูง
  3. ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด ESG 4 Plus เพื่อโลกที่ยั่งยืน ได้แก่ (1) มุ่งสู่ Net Zero ที่ดำเนินงานตามแผน เพื่อก้าวสู่เป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 (2) Go Green การเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 99.7 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด (3) Lean เหลื่อมล้ำ การส่งเสริมด้านการศึกษาและอาชีพ เช่น จัดประกวดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ระดับอุดมศึกษา เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 และ (4) ย้ำร่วมมือ SCGP ร่วมกับพันธมิตรนำกระดาษใช้แล้วมาหมุนเวียนนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังได้ร่วมกับอำเภอบ้านโป่ง จัดโครงการชุมชน Like (ไร้) ขยะ ส่งเสริมชุมชนปลอดขยะกว่า 86 ชุมชน ฯลฯ

จากการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน ทำให้ล่าสุด SCGP ได้ติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ SET THSI Index เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SCGP ในการดำเนินธุรกิจตามกรอบแนวคิด ESG เพื่อเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

 

#SCGP #M&P