HoonSmart.com>>”ดีแทค”เปิดผลงานไตรมาส 3/65 กำไรร่วง เจอค่าใช้จ่ายรวมกิจการ ธุรกิจโทรคมนาคมยังคงแข่งขันเข้มข้น กดรายได้ค่าบริการไม่รวม IC อยู่ที่ 13,930 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย EBITDA เท่ากับ 7,177 ล้านบาท ส่วนลูกค้าเพิ่มเป็น 21.1 ล้านราย EBITDA margin แข็งแกร่งอยู่ที่ 43.8% มุ่งกลยุทธ์การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA margin ยังคงแข็งแกร่ง ยันปีนี้ลงทุน 1.1-1.3 หมื่นล้านบาท
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) หรือดีแทค เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2565 มีกำไรสุทธิ 487.96 ล้านบาท หรือกำไรหุ้นละ 0.21 บาท ลดลง 344.07 ล้านบาทหรือ 41.35%จากระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 832.03 ล้านบาทหรือ 0.35 บาท รวม 9 เดือนปีนี้มีกำไรทั้งสิ้น 2,218.27 ล้านบาท หรือ 0.94 บาท ลดลง 966.59 ล้านบาท หรือ 30.35% เทียบกับกำไรสุทธิ 3,184.86 ล้านบาทหรือ 1.35 บาทต่อหุ้น
นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DTAC กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3/2565 เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เห็นการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายของลูกค้าลดลง รวมทั้งการแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมยังคงเข้มข้น แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกเช่นนี้ บริษัทยังคงยึดมั่นให้ความสำคัญและเดินหน้าตามกลยุทธ์ ส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
“ดีแทคบรรลุเป้าหมายในการขยายเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทั้งหมด 77 จังหวัดภายในครึ่งปีแรก บริษัทยังคงมุ่งเน้นการเร่งขยายเครือข่าย 5G อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า มีการติดตั้งสถานีฐานบนเครือข่าย 5G เพิ่มขึ้นประมาณ 600 สถานีฐานในไตรมาส 3 และมีการติดตั้งสถานีฐานบนคลื่นย่านความถี่ต่ำเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 สถานีฐาน ทำให้มีสถานีฐานบนเครือข่าย 700 MHz รวมทั้งสิ้นประมาณ 18,800 สถานีฐาน คะแนนความพึงพอใจที่มีต่อเครือข่ายสุทธิของดีแทคมีทิศทางที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน รวมทั้งมีการร้องเรียนเกี่ยวกับเครือข่ายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 775,000 ราย ”
ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2565 ดีแทคมีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดอยู่ที่ 21.1 ล้านราย เพิ่มขึ้น 3.8% จากไตรมาสก่อน รายได้ค่าบริการไม่รวม IC จำนวน 13,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1% จากไตรมาสก่อน และลดลง 0.3% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย EBITDA อยู่ที่ 7,177 ล้านบาท ลดลง 13.4% จากไตรมาสก่อน และลดลง 3.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA margin (normalized) แข็งแกร่งอยู่ที่ 43.8%
นายนกุล เซห์กัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน ดีแทค กล่าวว่า กลยุทธ์ของดีแทคในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางยังคงดำเนินต่อไป โดยมีลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) และบริการที่นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ (dtac beyond) เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อน โดยบริการโซลูชั่นที่เสนอขายให้กับ SME ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนยอดขายไลเซนส์ได้ถึง 2.5 เท่าจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ ดีแทคยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์กับคู่ค้า เพื่อสนับสนุนการเติบโตของรายได้
ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ รายได้จากการให้บริการจาก B2B เติบโตขึ้น 14% dtac beyond ยังคงเติบโตต่อเนื่อง 16% โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการดิจิทัลเพิ่มขึ้น 28% การให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ 6.2% หากปรับปรุงรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 3.1% จากปีก่อน นอกจากการลดค่าใช้จ่ายที่อยู่หลัง EBITDA ที่ทำเพิ่มได้อีกในไตรมาสนี้
ในไตรมาสที่ 3/2565 EBITDA อยู่ที่ 7,177 ล้านบาท ลดลง 13.4% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบเชิงบวกจากการปรับปรุงรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาสก่อน และลดลง 3.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการมุ่งเน้นกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA (normalized) ยังคงทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แรงกดดันทางเศรษฐกิจ และผลกระทบเชิงลบจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ
“กำไรสุทธิไตรมาสที่ 3 ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 2/65 ขณะที่มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการในไตรมาส 3/65 และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากต้นทุนค่าธรรมเนียมในปี 2564 รวมผลกระทบจากค่าสินไหมทดแทนระหว่างกาลประมาณ 170 ล้านบาทจากการเคลมเงินประกันและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายโครงข่าย CAPEX อยู่ที่ 1,954 ล้านบาท”
ดีแทคยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2565 ตามที่คาดไว้ โดยมีรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่า IC) ในระดับคงที่หรือลดลงในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ ในขณะที่ EBITDA คงที่จนถึงเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ และมีระดับการลงทุนอยู่ที่ 11,000-13,000 ล้านบาท