CIMBT กำไร 9 เดือน 2,811 ลบ. เติบโต 65% ค่าใช้จ่าย-สำรองลด

HoonSmart.com>> “ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย” โชว์กำไรงวด 9 เดือน 2,811.5 ล้านบาท เพิมขึ้น 64.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 231.8 ล้านบาท กว่า 3.9% บริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ด้านผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 45.5% จากการลดลงของการด้อยค่าของสินทรัพย์

นายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,811.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,103.3 ล้านบาท หรือ 64.6% เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2564 สาเหตุหลักเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 3.9% และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 45.5% เป็นผลจากการลดลงของการด้อยค่าของสินทรัพย์ ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลง 0.4%

รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2565 มีจำนวน 10,709.4 ล้านบาท ลดลงจำนวน 38.1 ล้านบาท หรือ 0.4% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 485.8 ล้านบาท หรือ 6.4% เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจเช่าซื้อและเงินให้สินเชื่อ สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจำนวน 172.6 ล้านบาท หรือ 17.7% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าขายประกันและหน่วยลงทุน รายได้จากการดำเนินงานอื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 275.2 ล้านบาท หรือ 12.5% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและรายได้อื่นสุทธิกับการเพิ่มขึ้นของขาดทุนจากเงินลงทุน

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2565 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 ลดลงจำนวน 231.8 ล้านบาทหรือ 3.9% เนื่องจากการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานงวดเก้าเดือนปี 2565 อยู่ที่ 53.2% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที่ 55.2%

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2565 อยู่ที่ 2.7% ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2564 อยู่ที่ 3.1% เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจเช่าซื้อและเงินให้สินเชื่อ

วันที่ 30 กันยายน 2565 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 224.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 279.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 จากสิ้นปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 239.5 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 80.2 จากร้อยละ 88.5 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564

สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 3.4% ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ 3.7% สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2565 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้

อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 อยู่ที่ 113.6% เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งอยู่ที่ 117.5% ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 8.1 พันล้านบาท เป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท

เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 กันยายน 2565 มีจำนวน 56.2 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 20.5% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อัตรา 15.0%