เชียร์ 18 หุ้น ชนะเงินเฟ้อสูง โมเมนตัมตลาดดีเข้าไฮซีซั่นเที่ยว

HoonSmart.com>>โบรกส่องเงินเฟ้อสหรัฐ-ไทยผ่านจุดพีคไปแล้ว แต่ยังสูง แม้เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย กว่าจะเห็นเงินเฟ้อลงได้กลางปี 66 จากราคาน้ำมันทรงตัวสูง-เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวต้องการใช้มาก สงครามยูเครนยังไม่จบ ปัจจัยเสี่ยงตลาดหุ้นทั่วโลก ครึ่งหลังเดือนต.ค.ท่องเที่ยวบูม เล็งหุ้นต้านกระแสเงินเฟ้อสูง  BH, BDMS, GPSC, BGRIM, PTTEP, AOT, EA, NEX, BH, BDMS, SPA, CRC, CPN, BA, SCB, BBL, KBANK, CPALL คาดดัชนีลงลึกสุด 1,500 ไปได้ไกลสุด 1,630 จุด  ปลายปีนี้มีตัวช่วยจาก SSF, RMF และมาตรการภาครัฐ

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือเงินเฟ้อ เดือน ก.ย. 2565 เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน (MoM) และ 8.2% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.3% และ 8.1% ตามลำดับ ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) อยู่ที่ 6.6% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตลาดคาดที่ 6.5%

ทั้งนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศไทย(IMF) คาดเงินเฟ้อโลกปีนี้เพิ่มขึ้น 8.8% และปีหน้าคาดลดเหลือ 6.5% ก่อนจะอ่อนตัวลงเข้าสู่ระดับปกติที่ 4.1% ในปี 2567 ความเสี่ยงที่ IMF กังวลมากที่สุดคือ การดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่ผิดพลาดและไม่สอดคล้องกัน

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า เงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว แต่การจะปรับตัวลงคงต้องใช้ระยะเวลา มองว่าปรับตัวลงช้า ซึ่งในปี 2565 เงินเฟ้อทั้งของไทยและสหรัฐก็ยังอยู่ในระดับสูง กว่าที่จะเข้ามาอยู่ในกรอบที่วางไว้ ต้องใช้เวลาไปถึงกลางปี 2566  เงินเฟ้อสหรัฐถึงจะเข้ามาอยู่ในกรอบ 2% ส่วนเงินฟ้อไทยมีโอกาสที่จะพีคได้ในไตรมาส 4 และกว่าจะเข้ามาอยู่ในกรอบ 3% น่าจะกลางปีหน้าเช่นกัน โดยราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งปี 2564 ราคาน้ำมันอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปี 2565 ราคาน้ำมันขึ้นมาถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ดังนั้นหุ้นที่จะสามารถต้านกระแสเงินเฟ้อสูงได้ มองเป็นหุ้นที่มีรายได้แน่นอน เช่นหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำหุ้น BH, BDMS และหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำหุ้น GPSC, BGRIM ซึ่งค่า Ft ที่ปรับขึ้น ทำให้สามารถปรับราคาขายสูงขึ้นได้ รวมถึงหุ้นที่สามารถปรับราคาขายสินค้าได้ อย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำ แนะนำ PTTEP

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังเดือนต.ค. ยังเห็นถึงทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังใช้ยาแรง และเงินทุนต่างชาติ(ฟันด์โพลว์)ได้เปลี่ยนทิศมาเป็นขายตั้งแต่เดือนก.ย.มาจนถึงเดือนต.ค. ตอนนี้อยู่ในช่วงของการหาจุดต่ำสุด (Bottom) โดยตลาดยังมีแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา หากมามากจะช่วยทำให้หุ้นดีขึ้นได้ ซึ่งมองตลาดมี Downside ไม่มาก ให้แนวรับ 1,530-1,500 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600-1,630 จุด อีกทั้งในช่วงปลายปีนี้ตลาดยังมีตัวช่วยจากกองทุน SSF, RMF และมาตรการภาครัฐ

อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนในสัปดาห์นี้จะมีท่าทีอย่างไร และติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 3/2565 ของบริษัทจดทะเบียนด้วย

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า เงินเฟ้อสหรัฐได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว แต่การจะลดลงคงจะช้า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะช่วยทำให้เงินเฟ้อลดลงได้บ้าง แต่กว่าจะเห็นผลชัดเจนต้องปี 2565  ส่วนเงินเฟ้อไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันราคาอาหาร และราคาพลังงาน ที่ปรับตัวขึ้นแรง รวมถึงกองทุนน้ำมันยังติดลบอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลงมาบ้าง ไม่ช่วยให้เงินเฟ้อดีขึ้นเท่าไร เพราะอาจจะต้องเก็บเงินเข้ากองทุนก่อน ทำให้เงินเฟ้อของไทยปรับตัวลงช้าเมื่อเทียบกับสหรัฐ

ดังนั้นหุ้นมีความเสี่ยงหลักจากเศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะถดถอย จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้หุ้นที่อิงเศรษฐกิจโลกจะ Underperform อย่างหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงลึกมากแล้ว และหุ้นในกลุ่มชิปปิ้ง  ยังมี Downside  มองจังหวะการฟื้นตัว เลื่อนไปปี 2567 แต่หุ้นที่น่าสนใจลงทุน มองเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค, การท่องเที่ยว, รถยนต์ไฟฟ้า และหุ้นที่มีกำไรเติบโตดี โดยแนะนำ”ซื้อ”หุ้น AOT ราคาเป้าหมายปี 2566 อยู่ที่ 85 บาท, EA, NEX, BH, BDMS, SPA, CRC, CPN, BA

“ไตรมาส 4/64 เป็นช่วง High Season โมเมนตัมตลาดน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ลุ้นจำนวนนักท่องเที่ยว 2 ล้านคนต่อเดือนจะทำได้ไหม, ต่อไปต้องหันไปดูงบฯไตรมาส 3/65 จะเป็นอย่างไรบ้าง เบื้องต้นให้กรอบแนวรับ 1,550 จุด แนวต้าน 1,600 จุด”นายพิชัยกล่าว

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.พาย กล่าวว่า ปีนี้เงินเฟ้อของสหรัฐคาดว่าจะอยู่แถว 7% ปลาย ๆ ถึง 8% ต้น ๆ ซึ่งกว่าจะปรับตัวลงได้ ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ต้องให้ผ่านช่วงฤดูหนาวไปก่อน เพราะมีการใช้น้ำมันมาก ตราบใดที่เห็นเงินเฟ้อสหรัฐอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเงินกองทุนของรัฐบาลกลาง (Fed Fund Rate) คนจะสบายใจได้ คาดว่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงไตรมาส 2/2566

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงที่เงินเฟ้อสูงมองไปที่หุ้นในกลุ่ม Defensive พวกธุรกิจ Utility อย่างหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า และแนะนำ BH, BDMS, CPALL รวมถึงกลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่มีปัจจัยถ่วงจากเศรษฐกิจโลกที่แย่ ซึ่งแนะนำ SCB, BBL, KBANK ส่วนหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวน่าสนใจหากราคาหุ้นยังไม่สูง

ทิศทางตลาดในครึ่งหลังเดือนต.ค.มองตลาดไม่ได้แย่ มีโอกาสแกว่งตัวขึ้น แม้เงินเฟ้อสหรัฐจะออกมาสูงกว่าตลาดคาด อาจทำให้ตลาดผันผวนไปบ้าง แต่เชื่อว่านักลงทุนจะหันไปติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป พร้อมมองกรอบแนวรับ 1,530-1,500 จุด แนวต้าน 1,580-1,600 จุด