WHA คาดผลงานนิวไฮ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% มุ่งสู่ Tech Company

HoonSmart.com>> “ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป” คาดผลประกอบการปี 65 สูงเป็นประวัติการณ์ รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติเติบโต 20% กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ทะลุ 40% คึกคักรับการกลับมาของนักลงทุน เผยไตรมาส 4 ปีนี้ ตั้งเป้าขายสินทรัพย์ขนาด 208,000 ตร.ม. เข้ากองทรัสต์ WHART และ WHAIR มูลค่ารวม 5,400 ล้านบาท

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กล่าวว่า บริษัทฯ ยังดำเนินการตามแผนโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในทุกกลุ่มธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะ ควบคู่ไปกับการรักษางบดุลที่แข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นของเรา ตามแผนกลยุทธ์การเติบโตและการลงทุนระยะเวลา 5 ปี ด้วยงบ 50,000 ล้านบาท

“ในปี 2565 เรามองเห็นความก้าวหน้าอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ การเปิดประเทศอีกครั้ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ตามมาในยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19 ทำให้เราได้เห็นการกลับมาของนักลงทุน เห็นได้จากข้อตกลงใหญ่ ๆ และโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มต่าง ๆ ของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายของปี 2565 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ รวมถึงการปรับเป้ายอดขายที่ดินขึ้นเป็น 1,650 ไร่ ประการที่ 2 คือ การดำเนินการตามแผนการลงทุนระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 50,000 บาท รวมถึงโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล ซึ่งจะปูทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว”นางสาวจรีพร กล่าว

แนวโน้มปี 2565 และอนาคตเติบโตยั่งยืน สำหรับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ คาดว่า ปี 2565 จะเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ หลังจากผลประกอบการในครึ่งแรกของปีเป็นที่น่าประทับใจ และมีโครงการที่เตรียมส่งมอบในครึ่งหลังของปีอีกหลายโครงการ รวมไปถึงการเปิดตัวอาคารคลังสินค้าและอาคารสำนักงานมูลค่าสูงใหม่ ๆ โดยธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ ยังคงมุ่งมั่นเน้นการจัดหาบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า ด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ รวมถึงความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ

ในครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ได้ส่งมอบพื้นที่รวม 194,300 ตร.ม. แบ่งออกเป็นโครงการคลังสินค้าใหม่และสัญญาเช่าพื้นที่ใหม่จำนวน 98,200 ตร.ม. และสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 96,100 ตร.ม. ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบที่มีต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดความต้องการเช่าคลังสินค้าระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจจัดส่งสินค้าแบบด่วน รวมไปถึงตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) สำหรับในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2565 จะมีการส่งมอบโครงการคลังสินค้าใหม่ ๆ รวมพื้นที่กว่า 51,000 ตร.ม.

นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการคลังสินค้าดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ใหม่อีก 2 โครงการ และพื้นที่ส่วนต่อขยายของโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 (WHA Mega Logistics Center Theparak KM. 21) รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 420,000 ตร.ม.

กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ถึง 513 ไร่ โดยในประเทศไทย บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมที่จะต้อนรับนักลงทุนด้วยพื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมขายกว่า 4,250 ไร่ ในทำเลยุทธศาสตร์ บริษัทฯ ได้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ไร่ ในขณะที่การก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ขนาด 573 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 และจะเริ่มก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนตุลาคมนี้

” เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินขนาด 600 ไร่ กับบริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี นอกจากนั้น ดีลครั้งนี้ยังยืนยันถึงบทบาทของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะบริษัทฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งคลัสเตอร์ยานยนต์ของประเทศไทยในพื้นที่อีอีซีตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีความภาคภูมิใจในการเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ถึง 277 รายจากทั่วโลก”

ในประเทศเวียดนาม หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการในจังหวัดเหงะอาน ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังคงยุทธศาสตร์ในการขยายนิคมอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดหลักๆอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ ได้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ครบครันด้วยโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อมคุณภาพสูงสุด โดยพื้นที่ร้อยละ 76 ของเฟสที่ 1 ได้ปล่อยเช่าให้กับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร พลังงานแสงอาทิตย์ วัสดุก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่ามากที่สุดในจังหวัดเหงะอาน ทั้งนี้จากการคาดการณ์ความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น บริษัทฯ จึงเร่งก่อสร้างเฟส 2 ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง

นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังวางแผนที่จะพัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 5,625 ไร่ รวมส่วนต่อขยายในจังหวัดถั่งหัว ซึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติโครงการ จังหวัดถั่งหัวเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม และมีทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ใกล้กับกรุงฮานอยและท่าเรือน้ำลึกแหล็กเฮวี่ยน โดยโครงการ ‘WHA Smart Technology Industrial Zone – Thanh Hoa’ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองหลักของจังหวัด พร้อมที่จะรองรับความต้องการของนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูง และการขยายโครงการ ‘Northern Technology Corridor’ ของเวียดนาม

กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ยังเดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม พร้อมขยายพอร์ทธุรกิจด้านพลังงานด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์

ด้านสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ยังคงเดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เช่น น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และน้ำปราศจากแร่ธาตุ

สำหรับประเทศเวียดนาม WHAUP มีโครงการน้ำที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 3 โครงการ ผลการดำเนินงานมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของของปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 12.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากมีฐานลูกค้าและพื้นที่ครอบคลุมการให้บริการน้ำประปามากขึ้น

ด้านพลังงาน ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังคงขยายพอร์ทการลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในครึ่งแรกของปี 2565 WHAUP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) จำนวน 62 เมกะวัตต์ ในขณะที่อีก 64 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังได้มีการลงนามโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมใหม่อีก 15 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 34 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ โครงการโซลาร์รูฟท็อปของบริษัท ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโซล่าร์รูฟท็อปที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มีกำลังการผลิต 19.4 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยรวมแล้ว สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามทั้งหมดของโครงการโซลาร์รูฟท็อปคาดว่าจะสูงถึง 150 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้

กลุ่มธุรกิจดิจิทัล เพิ่มศักยภาพธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงบริการและโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น ภายในสิ้นปี 2565 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะวางไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) และพร้อมให้บริการแล้วเสร็จทั้ง 11 นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในประเทศไทย และยังมีการให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมสำหรับติดตั้งอุปกรณ์สำหรับรับและกระจายสัญญาณเครือข่าย 3G, 4G, และ 5G ภายในนิคมฯ ของดับบลิวเอชเอ

อย่างไรก็ตามด้วยเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยี ในปี 2567 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้สร้างโรดแมพ ที่ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ส่งเสริมนวัตกรรมในสถานที่ทำงาน การปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างรากฐานด้านดิจิทัลให้กับองค์กร รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลและทักษะด้านนวัตกรรมให้กับพนักงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังมีการสำรวจเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว META W เมตะเวิร์สอุตสาหกรรมรายแรก ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทในยุคดิจิทัล