HoonSmart.com>> ‘บีทีเอส’ ชี้เสนอราคาประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เทียบกับเอกชนอีก 2 ราย ราคาถูกกว่าหลายหมื่นล้านบาท ยันข้อเสนอขอรัฐอุดหนุนสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม 9 พันล้านบาททำได้จริง มองการประมูลส่อไม่โปร่งใสและกีดกันการแข่งขัน
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เผยแพร่เอกสารระบุว่า ตามที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนของบริษัทและพันธมิตรที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เมื่อช่วงปี 2563 โดยขอรับเงินสนับสนุนค่างานโยธา คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (NPV) เป็นจำนวนรวม 79,820.40 ล้านบาท และจ่ายเงินตอบแทนให้ รฟม. คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (NPV) เป็นจำนวนรวม 70,144.98 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทฯ และพันธมิตรจึงขอเงินสนับสนุนจากภาครัฐ จำนวนรวมเพียง 9,676 ล้านบาท
ต่อมา รฟม. ได้ออกข่าวประชาสัมพันธ์ ฉบับที่ 59/2565 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 โดยระบุว่า แม้ BTSC จะนำข้อมูลด้านการลงทุนและผลตอบแทนในการยื่นข้อเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เมื่อปี 2563 มาแสดง แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถนำตัวเลขมาเปรียบเทียบกับผลการยื่นข้อเสนอในการคัดเลือกเอกชนปัจจุบันได้ เพราะไม่ทราบว่าข้อเสนอด้านคุณสมบัติ และข้อเสนอด้านเทคนิค จะผ่านเกณฑ์การพิจารณาหรือไม่ รวมทั้งมีความเป็นไปได้ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือเพียงใด จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าข้อเสนอของ BTSC จะเป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐจริงตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน และยังตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลขดังกล่าวของ BTSC มีความแตกต่างจากผลการศึกษาที่ รฟม. นำเสนอขออนุมัติโครงการต่อคณะรัฐมนตรีไว้เป็นจำนวนมาก เพราะผลการศึกษาก็ได้ใช้สมมติฐานทางการเงินตาม MRT Assessment Standardization ที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นสมมติฐานที่น่าเชื่อถือ และใช้ในทุกโครงการของ รฟม. อีกทั้งยังยืนยันว่าการประมูลโครงการนี้มีลักษณะเปิดกว้างให้เอกชนเข้าร่วม
บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า เหตุที่ต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพราะเห็นว่าการประมูลนี้ไม่สุจริต ชี้ให้เห็นพฤติการณ์ต่างๆ ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไม่โปร่งใส และกีดกัน โดยบริษัทฯ ต้องการเห็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมีการประมูลที่โปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม และเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. เคยจัดการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมาแล้วในปี 2563 ต่อมาเมื่อเอกชนได้ซื้อซองข้อเสนอแล้ว คณะกรรมการคัดเลือกฯ กลับแก้ไขหลักเกณฑ์การคัดเลือกเอกชน จนทำให้บริษัทฯ ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีแรก และเมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งทุเลาการบังคับไม่ให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ ใช้เอกสารการคัดเลือกเอกชนที่แก้ไขดังกล่าว
แทนที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะปฏิบัติตามคำสั่งศาล กลับมีมติยกเลิกการประมูลในครั้งดังกล่าว และเปิดประมูลโครงการครั้งใหม่เมื่อกลางปี 2565 โดยปรับเปลี่ยนคุณสมบัติและเงื่อนไขของผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอให้แตกต่างไปจากเดิม จนทำให้บริษัทฯ และพันธมิตร ซึ่งเป็นเอกชนที่เคยมีคุณสมบัติและสามารถเข้าประมูลได้ในครั้งที่ผ่านมา กลับไม่สามารถเข้าประมูลในครั้งนี้ได้ ซึ่งบริษัทฯ เห็นว่า เป็นการกระทำที่มีเจตนากีดกันบริษัทฯ และพันธมิตรไม่ให้มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและยังอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอราคารายหนึ่งรายใด ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของโครงการ และเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี และคำพิพากษาศาลปกครอง บริษัทฯ จึงฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลยกเลิกเพิกถอนประกาศเชิญชวนฯ และเอกสารการคัดเลือกเอกชนฉบับใหม่ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนจนปราศจากข้อสงสัยว่า ข้อเสนอของบริษัทฯ และพันธมิตรเป็นข้อเสนอที่ ทำให้ภาครัฐสามารถประหยัดเงินลงทุนและไม่เป็นภาระทางการคลังของประเทศเกินจำเป็น และ/หรือ ได้รับประโยชน์สูงสุด ในขณะที่ประเทศกำลังประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอย่างมาก และเป็นข้อเสนอที่ทำให้ ภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
ในภาพรวมอยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยลดผลกระทบต่อการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ซึ่งบริษัทฯ และพันธมิตร ขอยืนยันว่า
“ตัวเลขตามข้อเสนอดังกล่าว เป็นข้อเสนอที่ทำได้จริง” เนื่องจากบริษัทฯ และพันธมิตรมีประสบการณ์ยาวนานและประสบความสำเร็จในการดำเนินกิจการให้บริการเดินรถไฟฟ้ามาโดยตลอด และมั่นใจว่าผลประโยชน์ที่ภาครัฐได้รับจะสูงกว่าของเอกชนที่ยื่นข้อเสนอทั้ง 2 ราย จำนวนหลายหมื่นล้านบาท
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม แท้จริงแล้วไม่ได้มีการเปิดกว้างแบบที่ รฟม. กล่าวอ้าง เนื่องจากเอกชนที่ยื่นข้อเสนอจำนวน 2 รายนั้น มีเอกชน 1 ราย ที่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายไม่ให้เข้าร่วมและ/หรือได้รับคัดเลือกเป็นคู่สัญญาร่วมลงทุนในโครงการร่วมลงทุนได้ ในขณะที่เอกชนที่เหลืออยู่อีก 1 รายก็คือ เอกชนที่ รฟม. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 2 นั่นเอง
แต่แม้กระนั้น คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ก็ยังเดินหน้าพิจารณาซองข้อเสนอด้านเทคนิคของเอกชนที่ขาดคุณสมบัติดังกล่าว และหลังจากที่ใช้เวลาพิจารณาเพียงประมาณ 1 สัปดาห์ (ซึ่งน่าจะเป็นการพิจารณาซองข้อเสนอด้านเทคนิคที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การประมูลโครงการร่วมลงทุนที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้) คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ก็ยังให้เอกชนรายที่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติและด้านเทคนิคโดยไม่สนใจข้อทักท้วงใด ๆ อันเป็นการกระทำที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
ดังนั้นเมื่อพิจารณาพฤติกรรมที่ผ่านมาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขหลักเกณฑ์การคัดเลือก (ซึ่งไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว) การยกเลิกการประมูล การกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นประมูลครั้งใหม่ให้แตกต่างไปจากเดิม การเปิดเผยตัวเลขข้อเสนอของบริษัทฯ จึงเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่าการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในครั้งนี้ ผู้เกี่ยวข้องมีเจตนาที่ไม่สุจริตอย่างชัดเจน เพราะหากไม่กำหนดเงื่อนไขที่เป็นการกีดกัน บริษัทฯ และพันธมิตรผู้ชนะการประมูลในครั้งนี้ จะสามารถประหยัดงบประมาณของรัฐบาลได้หลายหมื่นล้านบาท จึงเป็นคำถามว่า หาก รฟม.ประกาศให้ผู้ชนะการประมูลเป็นไปตามตัวเลขที่ปรากฎ วงเงินงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทที่รัฐบาลต้องสูญเสีย “ใครจะรับผิดชอบ”