ตลท.คาดฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้า “ภากร”เตือนอย่าลงทุนในสิ่งที่ดีเกินจริง

HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ลั่นไทยมีปัจจัยบวกดึงดูดเงินเข้าหุ้นไทย ยกเดือนส.ค.มากถึง 57,014 ล้านบาท เป็นแรงส่งให้ต่างชาติเข้ามาต่อ “ภากร” ผู้จัดการตลท. มองฟันด์โฟลว์เข้า 3 ช่องทาง หุ้น-ตราสารหนี้สั้นและยาว เงินอาจจจะไม่เข้ามาพร้อมกัน ต้องศึกษาหาปัจจัยหนุน ช่วงเงินบาทอ่อน ไหลออกจากบอนด์สั้นเข้ายาว แนะกลยุทธ์ลงทุนยามผันผวน การกระจายความเสี่ยงที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงได้ เตือนระวังอย่าลงทุนในสิ่งที่ดีเกินจริง 

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2565 เงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเกือบทุกเดือน มีเพียงเดือนที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะเดือนส.ค.เข้าสูงถึง 57,014 ล้านบาท นับเป็นอันดับต้นๆของภูมิภาค  ทำให้ใน 8 เดือนแรกมียอดซื้อสุทธิรวม 170,744 ล้านบาท อีกทั้งยังมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5

“หากพิจารณาจากโมเมนตัมก็เป็นไปได้ที่เงินจะไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงปัจจัยบวกของไทยสนับสนุน เรื่องความมั่นคง มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง โครงสร้างเศรษฐกิจไทยค่อนข้างเปิด มีเครื่องจักรหลายตัวช่วยให้ฟื้นตัว นอกจากการส่งออกและการท่องเที่ยวแล้ว การใช้จ่ายในประเทศเริ่มฟื้นตัว รวมถึงยังเริ่มเห็นความใหม่ของ บจ. ที่เกาะกระแสโลก เช่นกลุ่มอาหารทำฟู้ดเทค แพลนต์ เบสด์  ส่วนเรื่องความยั่งยืน เรามีความโดดเด่น ทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในจอเรด้าร์ที่นักลงทุนต่างชาติเลือกลงทุนในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง”นายศรพลกล่าว

ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ภาพรวมมหภาคของไทยเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หนี้สาธารณะต่ำ สำรองระหว่างประเทศสูง เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ขณะเดียวกันบจ.ไทยโตต่างประเทศมาก สร้างรายได้จากต่างประเทศเกือบ 40-50% ของบจ.ทั้งหมด  ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทย

อย่างไรก็ตาม เงินไหลเข้า-ออกผ่าน 3 ช่องทางคือ ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น และระยะยาว เป็นไปได้ที่จะเข้า-ออกไม่พร้อมกัน หากนักลงทุนมองว่าค่าเงินบาทอ่อน เงินไหลออกจากตราสารหนี้สั้น แต่กลับเข้ามาในตราสารหนี้ระยะยาว และตลาดหุ้น ดังนั้นจะต้องพิจารณาในรายละเอียดว่าเงินไหลเข้า-ออก มาจากปัจจัยอะไร

นอกจากนี้การลงทุนในช่วงตลาดผันผวน  แนะนำว่านักลงทุนต้องพิจารณาว่าจะยอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน ความหวังผลตอบแทนเท่าไร ยากในการตัดสินใจลงทุน แต่หากมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ ซึ่งมีหลายวิธี  ต้องลงทุนเองศึกษาเอง หรือใช้ผู้แนะนำการลงทุน  ดูบทวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือว่าแนะนำอย่างไร

สำหรับโลกของการลงทุนจะมีทางเลือกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นักลงทุนจะต้องพิจารณา และศึกษาข้อมูล ซึ่งประเทศไทยมีเรียลเซคเตอร์แข็งแกร่งมาก การระดมทุนผ่าน IPO และตลาดรอง ปีละเกือบ 5 แสนล้านบาท ซึ่งตลาดรองมักจะระดมประมาณ 2 เท่าของ IPO แสดงว่า มีธุรกิจใหม่เกิดขึ้นมาก และกระจายในหลายขนาด มีการขยายการลงทุน ทำให้มั่นใจว่าแข็งแกร่ง นำเงินไปลงทุนอะไรบ้าง

“ฝากเตือนนักลงทุนว่าไม่ควรเข้าไปลงทุน ในสิ่งให้ผลตอบแทนที่ดีเกินจริง ยิ่งมีสื่อและช่องทางที่มีมาก ไม่ใช้ช่องทางที่ไม่น่าเชื่อถือ มีการชักชวนในสิ่งที่ไม่น่าลงทุน”นายภากรกล่าว

ทั้งนี้ เงินทุนไหลเข้าส่งผลให้  Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนส.ค.2565 อยู่ที่ระดับ 15.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.6 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.2 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน อยู่ที่ระดับ 2.78% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.00% โดยมีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE) และใน mai 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท ยงคอนกรีต (YONG) โดยมูลค่าระดมทุนรวมใน IPO  ปี 2565 อยู่ยังในระดับต้นๆ ของเอเซีย

ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2565 แม้จะมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางในหลายประเทศ แต่ SET Index มีความผันผวนน้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักอื่นๆ สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่องจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ อีกทั้งผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่เติบโตดี โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2565 ที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีกำไรสุทธิรวม 3.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ Historical และ Forward PE ratio ของ SET Index ยังมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา รวมถึง บจ. มีโอกาสเพิ่มอัตราจ่ายปันผลสูงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงาน อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยยกเลิกการจำกัดอัตราจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์ทำให้อัตราการจ่ายปันผลในอนาคตมีแนวโน้มดีขึ้น