HoonSmart.com>> “เมืองไทย แคปปิตอล” ปลื้ม! หุ้นกู้ 2 รุ่น ขายเกินเป้า สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมลุยปล่อยสินเชื่อใหม่ ผู้บริหารมองแนวโน้มความต้องการสินเชื่อครึ่งปีหลังยังเติบโตได้ดี หลายปัจจัยหนุน พร้อมลุยขยายสาขาเพิ่มตามเป้าหมาย 6,500 สาขา มั่นใจปีนี้พอร์ตสินเชื่อโตทะลุเป้า 30-35% หนุนผลงานนิวไฮต่อเนื่อง
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) 2 รุ่น มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราผลตอบแทน 3.50% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทน 3.80% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ครบตามเป้าที่บริษัทฯ ตั้งไว้ ทำให้บริษัทฯ ต้องนำหุ้นกู้สำรอง เพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมหรือ Greenshoe มาออกใช้ เพื่อรองรับความต้องการส่วนเกินจากนักลงทุน โดยวัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำไปใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และใช้ในการประกอบธุรกิจและขยายกิจการของบริษัทต่อไป
ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ซึ่งเป็นระดับลงทุนได้หรือ Investment Grade โดยผลการเสนอขายได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุนและสามารถขายได้ทั้งหมด สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัทฯ ในฐานะผู้นำในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ และมีอัตราการเติบโตที่สม่ำเสมอ ขณะเดียวกันผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ
“หุ้นกู้ของ MTC ยังได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่าน ๆ มา เนื่องจากธุรกิจของมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสามารถในการทำกำไรในระดับสูง แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะเดียวกันเชื่อว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจยังอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากความต้องการสินเชื่อใหม่มากขึ้น ขณะที่บริษัทฯมีสภาพคล่องทางการเงินในระดับที่ดี และมีแหล่งทุนที่หลากหลาย ทั้งจากสถาบันการเงินและการออกตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทำให้บริษัทฯ ยังคงสามารถเติบโตต่อได้”
สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินว่าแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ ยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก หลังเข้าสู่ช่วงของไฮซีซันของธุรกิจ หรือ เป็นฤดูของการทำการเกษตร ทำให้จะมีความต้องการให้เงินลงทุนมากขึ้น รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ภาพรวมเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักมากขึ้น
นอกจากนี้นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 5-8% น่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มลูกค้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำให้บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อปีนี้ไว้ที่ 30-35% ประกอบกับมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมอีก ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ จะมีสาขารวมอยู่ที่ 6,500 สาขา จากไตรมาส 2/2565 มีสาขาอยู่ที่ 6,475 สาขา ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น ช่วยผลักดันผลงานในปี 2565 จะสามารถสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง