STARK ยอดขายโตกระฉูด ดัน Q2 กำไร 690 ล้านบาท พุ่ง 31%

HoonSmart.com>> STARK โชว์ Q2/65 กำไร 690 ล้านบาท โต 31.6%  ยอดขายโตก้าวกระโดด ดันรายได้หลักโตกระฉูด 39%  รวมทั้งอานิสงส์การซื้อโรงงานสายไฟในเวียดนาม ทำให้เกิดพลังร่วมทางธุรกิจ การรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบ มีต้นทุนต่ำลง ประสิทธิภาพผลิตสูงขึ้น

บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น  (STARK ) รายงานผลดำเนิงานไตรมาส 2/2565 สิ้นสุด 30 มิ.ย.2565 กำไรสุทธิ 690.63 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.058 บาท เติบโต 166.19 ล้านบาท หรือ 31.69% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 524.44 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.044 บาท

งวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 1,260.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 297.9 ล้านบาท หรือ 30.95% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 962.52 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลดำเนินงาน Q2/65 และงวด 6 เดือน ที่สูงขึ้น จากปัจจัยดังนี้

ด้านยอดขาย เติบโตก้าวกระโดด จากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จากโครงการภาครัฐและเอกชน ที่ก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน และกำหนดการ ส่งผลให้รายได้หลัก Q2/65 เท่ากับ 7,332 ล้านบาท เติบโต 39.6% จาก 5,252 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 โดย

งวด 6 เดือนแรกปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้หลัก  13,508 ล้านบาท  เติบโต 36.3%
จาก 9,908 ล้านบาท งวดเดียวกันในปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลประกอบการของธุรกิจที่เวียดนาม

ทั้งนี้ รายได้หลักที่เพิ่มขึ้นของบริษัทฯ ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ ไตรมาสที่ 2
ปี 2565 เท่ากับ 689 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 30.5% จาก 528 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564

งวด 6 เดือนแรกปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,270 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 31.1% จาก 969 ล้านบาท จากงวดเดียวกันในปีก่อน

หากพิจารณากำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ใน Q2/65 และปี 2564
เท่ากับ 691 ล้านบาท และ 524 ล้านบาท ตามลำดับ

อัตราส่วนกำไรสุทธิ ปี 2565 และปี 2564 เท่ากับ 9.4% และ 10.1% ตามลำดับ โดยในงวด 6M/2565 และ 6M/2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 1,260 ล้านบาท และ 963 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นมาร์จิ้น เท่ากับ 9.3% และ 9.7% ตามลำดับ

บริษัท ฯ สรุปภาพรวมธุรกิจที่ดีขึ้น จากปัจจัย

1.ผลประกอบการที่สูงขึ้นจากพลังร่วมทางธุรกิจ  (Business synergies) ภายหลังการเข้าลงทุนในประเทศเวียดนาม เช่น การรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบ , การแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต ให้มีต้นทุนที่ลดลงและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการลดอัตราการสูญเสียในกระบวนการผลิต (Scrap rate) เป็นต้น

2. Core Revenues เพิ่มขึ้น 39.6% เป็น 7,332 ล้านบาท มาจากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นจากโครงการภาครัฐและเอกชน ที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและกำหนดการ

3. ราคาทองแดงปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาทองแดง (LME Copper) โดยเฉลี่ยในครึ่งปีแรก 2565 อยู่ที่ประมาณ 10,000 USD per ton โดยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงราคาประมาณ 9,700 USD per ton ในเดือนมกราคม 2565 ทั้งนี้บริษัทฯ คาดการณ์ว่าราคาทองแดงจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอุปสงค์ (Demand) ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดทองแดงอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ราคาทองแดงมีผลกระทบต่อมาร์จิ้นของบริษัทฯ

อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการปรับตัวของราคาวัตถุดิบหลัก เนื่องจากบริษัทฯ มีนโยบายการบริหารแบบ Pass-through หรือ Cost-plus strategy ซึ่งคำสั่งซื้อส่วนใหญ่ จะมีการกำหนดราคาวัตถุดิบ และจำนวนที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ตามนโยบายการจัดซื้อของบริษัทฯ ที่ไม่ให้มีการเก็งกำไรจากราคาวัตถุดิบ (No speculation)

อีกทั้งบริษัทฯ ดำเนินการลงบัญชีอย่างรอบคอบและระมัดระวัง (Conservative basis) ดังนั้น สินค้าคงเหลือและวัตถุดิบจะแสดงมูลค่าตามราคาทุน เท่านั้น ไม่มีการปรับมูลค่าตามราคาตลาด (Mark-to-Market)

4. Adjusted Core EBITDA margin เพิ่มขึ้นร้อยละ 108.8 (Q2/65) และร้อยละ 80.5(6M/65) ตามส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ (product mix) ในแต่ละช่วงเวลา เนื่องมาจากการมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High Margin ตลอดจนนโยบายในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการร่วมกันของ กลุ่มบริษัทอย่างมีระบบ (Integrated Supply Chain Management)

5. Net Profit (ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่) เท่ากับ 691 ล้านบาท (Q2/65) และ 1,260 ล้านบาท (6M/65) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 524 ล้านบาท (Q2/64)และเพิ่มขึ้นจาก 963 ล้านบาท (6M/64) ตามลำดับ ตามผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง

ด้านยอดขาย เติบโตก้าวกระโดด จากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จากโครงการภาครัฐและเอกชน ที่ก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน และกำหนดการ ส่งผลให้รายได้หลัก Q2/65 เท่ากับ 7,332 ล้านบาท เติบโต 39.6% จาก 5,252 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 โดย

งวด 6 เดือนแรกปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้หลัก  13,508 ล้านบาท  เติบโต 36.3%
จาก 9,908 ล้านบาท งวดเดียวกันในปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลประกอบการของธุรกิจที่เวียดนาม

ทั้งนี้ รายได้หลักที่เพิ่มขึ้นของบริษัทฯ ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ ไตรมาสที่ 2
ปี 2565 เท่ากับ 689 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 30.5% จาก 528 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564

งวด 6 เดือนแรกปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,270 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 31.1% จาก 969 ล้านบาท จากงวดเดียวกันในปีก่อน

หากพิจารณากำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ใน Q2/65 และปี 2564
เท่ากับ 691 ล้านบาท และ 524 ล้านบาท ตามลำดับ

อัตราส่วนกำไรสุทธิ ปี 2565 และปี 2564 เท่ากับ 9.4% และ 10.1% ตามลำดับ โดยในงวด 6M/2565 และ 6M/2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 1,260 ล้านบาท และ 963 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นมาร์จิ้น เท่ากับ 9.3% และ 9.7% ตามลำดับ