HoonSmart.com>>บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ไม่ทำให้ผิดหวัง ไตรมาสที่ 2/65 โชว์กำไรสุทธิ 1,624 ล้านบาท ดีกว่าที่คาดไว้ ครึ่งปีหลังจะดียิ่งขึ้น และในปี 2566 จะสดใสขึ้นมาก ถึงเวลาเก็บเกี่ยวรายได้จากหลายโครงการที่ลงทุนแล้วเสร็จในปีนี้ ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ที่ 17.40 บาท ซื้อวันนี้ จะได้รับเงินปันผล 0.40 บาท ผลตอบแทนประมาณ 2.3% (XD 22 ส.ค.นี้) รวมทั้งปีมีโอกาสได้ถึง 5% ยังไม่รวมสิทธิหุ้น IPO ของบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) สุดคุ้ม สำหรับการลงทุนในหุ้นธุรกิจอาหารระดับโลก ที่มีความมั่นคง ความเสี่ยงต่ำและทุกครั้งที่เกิดวิกฤต ธุรกิจมักจะไปได้ค่อนข้างดี
“ธีรพงศ์ จันศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ให้สัมภาษณ์พิเศษ www.HoonSmart.com ว่า ในปี 2566 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้นของบริษัท เนื่องจากโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป หรือ ready-to-eat โรงงานคอลลาเจน เปปไทด์ และผลิตโปรตีน ไฮโดรไลเสตจะแล้วเสร็จในปีนี้ สร้างรายได้ในปีหน้าเป็นต้นไป
ประกอบกับบริษัทฯกำลังนำบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ( ITC) แฟล็กชิพ ด้านผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทำให้มีเงินทุนพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะยาว และโรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างจะแล้วเสร็จ เพิ่มกำลังการผลิตในปีหน้าเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันบริษัทกำลังจัดทำแผนธุรกิจของปี 2566 จะทุ่มเทในการเทิร์นอะราวด์ ธุรกิจ Red Lobster จะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น ธุรกิจใหม่ เช่น เครื่องปรุงมีการเติบโตมาก ธุรกิจซีวิต้า ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโมเดิร์นเทรด
” หวังว่ากำไรจะเติบโต 3-5% เราก็พอใจแล้ว ไม่ได้เน้นที่ยอดขาย เน้นความสามารถในการทำกำไรที่ดี มุ่งมั่นในการพัฒนาอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 20% เทียบจากปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 17.5-18% ธุรกิจมีความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพราะธุรกิจอาหารมีความจำเป็น บริษัทยังมีการกระจายกลุ่มธุรกิจพอสมควร ลดความผันผวน
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต เป็นช่วงที่เราสามารถดำเนินธุรกิจได้ค่อนข้างดี ส่วนการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 12-18 เดือนข้างหน้า แต่จะไม่ยาวนานมาก เพราะเป็นปกติ ที่จะฟื้นตัวรวดเร็ว ”
สำหรับผลงานในปี 2565 บริษัทมีการปรับเป้าหมายยอดขายทุกไตรมาส จากเดิมตั้งไว้ว่าจะเติบโต 4-5% ก่อนจะเพิ่มเป็น 7-8% หลังจบไตรมาสแรก ล่าสุด เพิ่มเป็น 10-12% เพราะครึ่งปีแรก ทำได้ถึง 12.3% รวม 75,217 ล้านบาท นิวไฮอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ออเดอร์ยังคงไหลเข้ามา ไตรมาส 3 เห็นความต้องการที่แข็งแรงอยู่ ในปีนี้คาดว่าจะทำได้ตามเป้า เนื่องจากบริษัทมีผลิตภัณฑ์อาหารให้เลือกมากมาย ราคาไม่แพง ผู้บริโภคมีความต้องการ ไม่ว่าอาหารทะเลกระป๋อง ร้านอาหารกลับมาเปิดบริการปกติ อาหารสัตว์เลี้ยงก็เติบโตสูงมากในครึ่งปีแรก สภาพแวดล้อมค่อนข้างเป็นบวก บริษัทได้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งจากการปรับราคาสินค้า เงินบาทอ่อนค่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยมีเสนห์ น่าสนใจมากขึ้น ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ บริษัทฯให้การสนับสนุนและอยู่ในแผนธุรกิจเรียบร้อยแล้ว
ทางด้านกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2565 ไม่ได้ด้อยลงกว่าที่ผ่านมา หากไม่ปรับรายการพิเศษทางด้านบัญชี มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของหุ้นบุริมสิทธิ ในธุรกิจ Red Lobster และค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานเยอรมนี ทำครั้งเดียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้น คงเหลือกำไรสุทธิ 1,624 ล้านบาทลดลง -30.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวม 6 เดือนกำไรสุทธิ 3,369 ล้านบาท ลดลง -18.73%
แนวโน้มครึ่งปีหลังดีขึ้น บริษัทฯมีขีดความสามารถในการแข็งขันที่ดี ราคาวัตถุดิบเริ่มปรับตัวสู่ภาวะปกติ อยู่ในช่วงที่สามารถบริหารจัดการได้และยังได้ผลกำไรที่ดีด้วย รวมถึงต้นทุนการขนส่งเริ่มลดลงเล็กน้อย ทำให้ภาพรวมกำไรปีนี้ไม่น่าจะลดลงมากนัก นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตจะลดลงได้อีกในระยะยาว จากการนำระบบ automation เข้ามาใช้ในโรงงานมากขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทก็ไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน ปัจจุบันมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน( D/E) 1.09 เท่า มีสภาพคล่องแข็งแกร่ง วางแผนจะเพิ่มสัดส่วนทางการเงินที่ยั่งยืน ( Blue Finance ) มากขึ้น ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 5% ต่อปี และยังจัดสรรหุ้น IPO ของบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่นให้ตามสิทธิด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจ TU นับเป็นวิจารณญาณของนักลงทุนในการเลือกลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตขึ้นสองหลัก ปีนี้ยืนยันยอดขายเติบโต 10-12%ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และธุรกิจมุ่งสู่ความยั่งยืน
เป้า TU เฉลี่ยสูงกว่า 20 บาทกำไรปี66 พลิกมาเติบโต
นักวิเคราะห์ 18 รายให้มูลค่าเหมาะสมหุ้น TU เฉลี่ยสูงกว่า 20 บาท โดยบล.ฟินันเซียไซรัส ให้ราคาเป้าหมายสูงที่สุด 24.50 บาท คาดว่ากำไรปีนี้อยู่ที่ 6,181 ล้านบาท ลดลง 16.8% เทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนปี 2566 กำไรเติบโต 19.12% เป็น 7,363 ล้านบาท
บล.หยวนต้าให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 20.50 บาท หลังจากคาดกำไรปี 2566 จะเติบโตมากถึง 22.21% เป็น 7,446 ล้านบาท
“ยังคงมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 แต่ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบแล้ว คาดกำไรจะพลิกกลับมาเติบโตในปี 2566 หากปัจจัยกดดันด้านต้นทุนคลี่คลาย และผลประกอบการของ Red Lobster ฟื้นตัวได้มากขึ้น จากการประเมิน Yuanta ESG Rating ได้ระดับ AA ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 20.50 บาท มี Upside gain 23.5% จึงปรับคำแนะนำจากเทรดดิ้งเป็นซื้อ”บล.หยวนต้าระบุ
บล.พาย ยังคงคำแนะนำ”ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี2565 ที่ 22.70 บาท ปรับเพิ่มจากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 20.4 บาท เนื่องจากกำไรไตรมาส 2 ออกมา 1,624 ล้านบาท ดีกว่าที่คาดไว้ 11% และแนวโน้มครึ่งปีหลังดีขึ้นได้ต่อเนื่อง จึงปรับประมาณการกำไรทั้งปีขึ้น 13% มาอยู่ที่ 7,133 ล้านบาท ลดลงเพียง 11% โดยปรับเพิ่มรายได้ขึ้นเป็น 156,193 ล้านบาท เติบโต 11% จากเดิม 151,709 ล้านบาท และกำไรขั้นต้นเป็น 17.9% จาก 17.7%