5 บจ.กลุ่มปตท.โกยกำไร 5.2 หมื่นลบ. TOP เป็นพระเอก 25,327ลบ.Q2/65

HoonSmart.com>>5 บริษัทของครอบครัวปตท.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประกาศผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2/2565 มีกำไรสุทธิรวม 51,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,658 ล้านบาท คิดเป็น+2.59% เทียบกับงวดไตรมาส 2/2564 ที่มีกำไรทั้งสิ้น 41,174 ล้านบาท รวม 6 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 75,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,243 ล้านบาท หรือ +3.06% จากระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 73,317ล้านบาท รอลุ้น PTT-OR  

กลุ่มปตท.ยังคงมีกำไรสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2/2565 เกิดจากบริษัทไทยออยล์(TOP) ทำกำไรได้สูงถึง 25,327 ล้านบาท พุ่งกระฉูด +1,093.16% ส่วนหนึ่งได้กำไรพิเศษจากการขายหุ้นบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) จำนวน 17,334 ล้านบาท (ก่อนภาษี) รวมถึงบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) ก็มีกำไรเพิ่มขึ้น 188.53% เป็น 20,600 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทในเครือ อีก 3 แห่ง ได้แก่ IRPC, PTTGC, GPSC มีกำไรลดลงเทียบกับในช่วงเดียวกันในปีก่อน  แต่ IRPC  มีกำไรเพิ่มขึ้น 155% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565

กำไรที่ลดลงจากปีก่อนส่วนหนึ่งเนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน และราคาวัตถุดิบที่ขึ้นมาสูงยาวนาน ผลงานที่ออกมา ทำให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนผิดหวังบ้าง กดดันราคาหุ้นร่วงลง แต่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบเริ่มดีขึ้น WTI ปรับตัวลงซื้อขายต่ำกว่า 90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว น่าจะส่งบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงหลังของปีนี้ ขณะเดียวกัน บริษัททุกแห่งมีการวางกลยุทธ์ โมเดลธุรกิจ และการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคต เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าจะสามารถปรับตัวเอาชนะปัจจัยที่เข้ามากระทบได้ไม่ยากนัก

ด้านนายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 99,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,787 ล้านบาท หรือ 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 26% ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4% โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 12,562 ล้านบาท (20.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้น 8,457 ล้านบาท หรือ 206% มีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ต้นทุนราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 11,264 ล้านบาท หรือ 18.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 14% ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิ 3,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 สะท้อนให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามวิสัยทัศน์ และแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจของบริษัทฯ เช่น การร่วมลงนามสัญญาการผลิตก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนกับบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส (BIG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงการยูโร 5 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM 2.5 ความร่วมมือเพื่อศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลือง ระหว่าง IRPC – INNOBIC และบมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก

การลงนามข้อตกลงกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงการเปิดศูนย์เรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงเกษตรผสมผสานสวนยายดา “เจ๊บุญชื่น” IRPC Smart Farming จ.ระยอง โดยบูรณาการนวัตกรรมขององค์กรผสานเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้บริการคลินิกหมอดิน นวัตกรรมปุ๋ยซิงค์ออกไซด์นาโน หรือ “ปุ๋ยหมีขาว” และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด “โซลาร์ลอยน้ำ” ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรจังหวัดระยอง และเกษตรกรทั่วประเทศ

แนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 3 คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นยังคงมีความผันผวน จากสภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ส่วนแนวโน้มภาวะตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 3 คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะปรับตัวดีขึ้นตามกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่จากจีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และโรงงานปิโตรเคมีในมาเลเซียที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงครึ่งปีหลัง จะทำให้อุปทานมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการร่วมมือกับคู่ค้า ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการบริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาล ในครึ่งแรกของปีนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยืนยันได้จากการได้รับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2022 หรือ AREA 2022 ในสาขา Health Promotion ภายใต้ชื่อ โครงการ VAJIRA LAB: Healthcare Security for Society (วชิรแล็บเพื่อสังคม) ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทฯ ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ดำเนินการศึกษา และจัดตั้งห้องปฏิบัติการกลางเพื่อตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนที่สร้างการเติบโต ควบคู่กับการสร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อไป