PTTGC กำไร Q2/65 ตกฮวบ 94.45% ขาดทุนประกันความเสี่ยง

HoonSmart.com>>”พีทีที โกลบอล เคมิคอล” (PTTGC) กำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ที่ 1,388.26 ล้านบาท ตกฮวบ 94.45% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25,034.73 ล้านบาท ปริมาณขายรวมของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลงในไตรมาสนี้ เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผน และยังผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 12,734 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้ และผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 4,378 ล้านบาท

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) แจ้งว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 1,388.26 ล้านบาท ลดลง 94.45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25,034.73 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.31 บาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 5.58 บาท

พร้อมอธิบายว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 196,397 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 จากไตรมาส 2/2564 โดยรายได้จากการขายรวมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสนี้ ภายหลังจากที่หลายประเทศทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงอุปทานที่ตึงตัวจากการที่หลายประเทศคว่ำบาตรการใช้น้ำมันและพลังงานจากประเทศรัสเซีย เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาวัตถุดิบ รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านอุปทานที่ตึงตัวจากการหยุดซ่อมบำรุงและการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตบางรายในภูมิภาค เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงทำให้ไม่คุ้มค่าในการผลิต

อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายรวมของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลงในไตรมาสนี้ เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 โรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 รวมถึงโรง LDPE และ LLDPE ทำให้ในไตรมาสนี้ ้บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 21,029 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/64 ร้อยละ 29 โดยบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ)อยู่ที่ 13,703 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2564 ร้อยละ 31

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารวมถึงผลจากการที่บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) เป็นกำไรรวม 3,085 ล้านบาท ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 12,734 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้ โดยเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว (realized) จำนวน 11,598 ล้านบาท และที่ยังไม่เกิดขึ ้น (unrealized) จำนวน 1,136 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 4,378 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน 1,712 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 1,388 ล้านบาท (0.31 บาท/หุ้น) ปรับตัวลดลงร้อยละ 67 จากไตรมาส 1/2565

ในไตรมาสนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยถึงแม้ราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) เฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทฯ มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 ซึ่งใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบหลัก ส่งผลให้มีปริมาณขายปรับตัวลดลงและมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบแนฟทาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 นอกจากนี้ ยังมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรง LDPE และ LLDPE ทำให้ปริมาณขาย PE ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมี Adjusted EBITDA Margin ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 9 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า

ผลประกอบการในกลุ่มธุรกิจ Performance Materials and Chemicals ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าโดยมีสาเหตุจากการอ่อนตัวลงของธุรกิจฟีนอลเป็นหลัก เนื่องจากราคาวัตถุดิบเบนซีนปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผลประกอบการของ allnex ยังคงรักษาระดับได้ต่อเนื่องในไตรมาสนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์มีผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสนี้ โดยมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (BTX P2F) อยู่ที่ 117 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 แต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักทั้งผลิตภัณฑ์พาราไซลีนและผลิตภัณฑ์เบนซีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสนี้ รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลอยได้ (byproducts) โดยเฉพาะคอนเดนเสทเรซิดิวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ธุรกิจโรงกลั่นมีผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสนี้ โดยมีค่าการกลั่น (GRM)อยู่ที่ 21.09 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2564 เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศรวมถึงการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลก รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อาทิเช่น มาตรการของหลายประเทศในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศรัสเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก รวมถึงการส่งออกที่ลดลงของประเทศจีน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทฯ รับรู้จำนวน 1,833 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากที่บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนในการถือหุ้นในบริษัท วีนิไทย จากร้อยละ 24.98 เป็นร้อยละ 37.82 ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท วีนิไทย ในปลายไตรมาส 1/2565 และผลประกอบการที่ดีขึ้นจากธุรกิจไบโอพลาสติกและธุรกิจอะคริโลไนไตรล์