โดย..สุนันท์ ศรีจันทรา
รายงานการขายหุ้นบริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA ของ นายกำธร และนางสาวนันทิดา กิตติอิสรานนท์ บุตรชายและบุตรสาวนายประเดช กิตติอิสรานนท์ นักลงทุนรายใหญ่ ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองรายจึงพร้อมใจกันทิ้งหุ้นตัวนี้
นายกำธร รายงานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ได้จำหน่ายหุ้น NUSA จำนวน 150 ล้านหุ้น หรือ 1.96% ของทุนจดทะเบียน จึงมีหุ้นเหลืออยู่ 267.55 ล้านหุ้น หรือ 3.5%ของทุนจดทะเบียน
ส่วนนางสาวนันทิดาจำหน่ายหุ้น NUSA จำนวน 30 ล้านหุ้น หรือ 0.4% ของทุนจดทะเบียน จึงเหลือหุ้นอยู่ 367.05 ล้านหุ้น หรือ 4.8% ของทุนจดทะเบียน
หุ้น NUSA ที่ทั้งคู่ถืออยู่ ต่อจากนี้สามารถขายออกโดยไม่จำเป็นต้องรายงาน ก.ล.ต. นักลงทุนทั่วไปจึงไม่มีทางได้รับรู้ว่า ลูกของนายประเดช จะทุบขายหุ้น NUSA ออกมาเมื่อไหร่
กลุ่มกิตติอิสรานนท์ ทยอยเข้ามาเก็บหุ้น NUSA พักใหญ่แล้ว และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน NUSA ขณะที่กลุ่มเทพเจริญ ซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งช่วงเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ลดสัดส่วนการถือหุ้นลง หลังจากผลประกอบการทรุดต่อเนื่อง จนกลายเป็นผู้ถือใหญ่อันดับรอง
การลงทุนใน NUSA ของกลุ่มกิตติอิสรานนท์ คงมีเป้าหมายหาผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา โดยไม่น่าจะหวังผลตอบแทนจากเงินปันผล เพราะผลประกอบการบริษัทฯ ขาดทุนหลายปีติดต่อ และยังไม่มีสัญญาณว่าจะพลิกมาสร้างผลกำไร
ราคาหุ้นที่ทรุดตัวลงมาลึก กลุ่มกิตติอิสรานนท์อาจเห็นเป็นโอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่าง แต่ปรากฏว่า หุ้น NUSA ลงไม่หยุด สร้างจุดต่ำสุดใหม่ตลอด จนกลุ่มกิตติอิสรานนท์ไม่มีโอกาสทำกำไร
การทยอยขายหุ้นออก อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า กลุ่มกิตติอิสรานนท์ถอดใจจากหุ้น NUSA แล้ว และอาจทยอยขายหุ้นที่เหลือตามมา
สถานการณ์ของ NUSA ไม่ดีนัก ขาดทุนหลายปีติดต่อ โดย 6 เดือนแรกปีนี้ ขาดทุนหนัก 259.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 65.77 ล้านบาท และทำให้หุ้นอยู่ในช่วงขาลงเต็มตัว
ไม่เฉพาะกลุ่มกิตติอิสรานนท์ นักลงทุนขาใหญ่ที่เสียทีหุ้น NUSA เท่านั้น นักลงทุนจำนวนกว่า 6,000 คนยังติดดอยหุ้นตัวนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน เมื่อเดือนมกราคม ปี 2561 หรือเมื่อต้นปีนี้ ในราคาหุ้นละ 50 สตางค์ ซึ่งถูกกินเรียบเหมือนกัน
ราคาหุ้น NUSA วันที่ 25ก.ย. ปิดที่ 33 สตางค์ ลดลง 1 สตางค์ โดยแนวโน้มหุ้นตัวนี้คงไม่สดใสนัก เพราะแม้นักลงทุนขาใหญ่ ยังต้องถอยจากหุ้นตัวนี้