LHFG ชูกลยุทธ์จับมือฟินเทครุกตลาดสินเชื่อบุคคล

HoonSmart.com>> “กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” เผยผลงานครึ่งแรกของปี 2565 กำไรจากการดำเนินงานเติบโต 3.4% สินเชื่อเติบโต 8.9 % ก้าวสู่ดิจิทัลแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบ ชูกลยุทธ์จับมือฟินเทครุกตลาดสินเชื่อบุคคล

นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) เปิดเผย ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ว่าภาพรวมธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยรวมถึงการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จากแนวโน้มที่ดีขึ้นของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีสินทรัพย์สุทธิ 274,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ร้อยละ 3.7 กำไรจากการดำเนินงาน 2,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 745 ล้านบาท

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าเป็นสถาบันการเงินที่เติบโตอย่างยั่งยืน และปรับเปลี่ยนองค์กร ด้วย Digital Transformation และมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างการเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) ด้วยการบูรณาการปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ผ่านนโยบายการให้สินเชื่อตามกรอบแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (Responsible Lending) และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียว รวมทั้งการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าและสังคมเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

นางสาวชมภูนุช ปฐมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) เปิดเผยผลการดำเนินงานของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ครึ่งแรกของปี 2565 ถือว่าเติบโตได้ดี โดยเฉพาะสินเชื่อเติบโต 8.9% จากสิ้นปี 2564 ซึ่งเติบโตในทุก Segment โดยสินเชื่อธุรกิจเติบโต 7.2% สินเชื่อรายย่อยเติบโตถึง 18.3% ทั้งจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการขยายตัวได้ดีของกลุ่มลูกค้าไต้หวัน ที่เติบโตถึง 49.8% และสินเชื่อ Trade Finance เติบโต 68% จากสิ้นปี 2564 สอดคล้องกับธุรกิจส่งออกและนำเข้าของไทยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง รวมกับการสนับสนุนจาก CTBC ธนาคารเอกชนอันดับ 1 ของไต้หวัน ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่ม

นอกจากนี้สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญอย่างมากคือการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565 ของธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 1,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลักๆ เป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิถึง 15.7% และรายได้จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกัน เพิ่มขึ้นถึง 41.6%

ทั้งนี้ธนาคารยังคงตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามหลักความระมัดระวังเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ และรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 196 โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ลดลงจาก 2.44% ณ สิ้นปี 2564 เหลือ 2.40% ณ ไตรมาส 2 ของปี 2565 สำหรับด้านเงินกองทุนยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 16.4% อยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ขณะที่หลังหักสำรองฯ ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 431 ล้านบาท

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้บริการแอปพลิเคชัน Profita ที่มี Feature สำคัญที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าในทุกจังหวะการลงทุน รองรับคำสั่งซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยนกองทุนได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีกองทุนแนะนำ มีบทวิเคราะห์สภาวะตลาดที่เปรียบเทียบได้ถึง 15 กองทุนในเวลาเดียวกัน และธนาคารอยู่ระหว่างพัฒนาบริการใหม่บนแพลตฟอร์ม Profita คือ บริการ ROBO Advisor เป็นบริการวางแผนการลงทุน และจัดพอร์ตการลงทุนแบบอัตโนมัติที่ออกแบบและคัดสรร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ซึ่งจะมีการติดตามและปรับสัดส่วนการลงทุน โดยลูกค้าสามารถเลือกที่จะให้ระบบปรับสัดส่วนการลงทุนแบบอัตโนมัติหรือให้ระบบแจ้งเตือนเพื่อตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการ ROBO Advisor ในไตรมาส 4 นี้

ด้านกลยุทธ์ธนาคารยังคงเดินหน้าพัฒนา Digital Infrastructure และ Platform เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และสอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าภายใต้แนวคิด Customer Centric ที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก Segment โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล Pro-fit ที่ลูกค้าให้ความสนใจเป็นอย่างมากเพราะความง่ายและสะดวกในการเปิดบัญชีผ่าน Mobile Banking LH Bank M Choice ทำให้ยอดเงินฝากสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 121.8 และมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Fund) เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 48 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 16% เนื่องจากสภาวะตลาดการลงทุนมีปัจจัยลบ บริษัทจึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ผู้ถือหน่วยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สำหรับผลการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการกองทุน บริษัทบริหารกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) มูลค่าประมาณ 58,124 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 13,025 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 5,747 ล้านบาท โดยบริษัทเน้นเติบโตในกองทุน ส่วนบุคคลและการลงทุนระยะยาว ทำให้กองทุนส่วนบุคคลมีขนาดเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 ราว 3,600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 38 รวมทั้งได้พัฒนาช่องทางบริการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น และจัดตั้งกองทุนรวมที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสอดคล้องกับภาวะตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่สามารถรักษาเงินต้น และมีความผันผวนต่ำเมื่อเทียบกับตลาดการลงทุน เช่น กองทุนที่ลงทุนในหลักทรัพย์ นอกตลาด (Private Equity Fund) และกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Real Assets Fund)

บริษัทได้รับรางวัลการันตีความสำเร็จการใช้นวัตกรรมสร้างความสำเร็จ “Excellence in Innovation ประเภท House Awards” จาก Fund Selector Asia Awards Thailand 2021 และปี 2022 ปัจจุบัน LH Fund มีกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับจาก Morningstar จำนวน 51 กองทุน (ข้อมูล ณ 30 มิถุนายน 2565)

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Securities) เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2565 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 316.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากธุรกิจอื่นที่มิใช่ค่านายหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น เช่น รายได้ดอกเบี้ยรับจากการเติบโตของลูกค้า กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้อื่น รวม 211.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้ค่านายหน้า 105.1 ล้านบาท ลดลง 11.2% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2564 ตามการปรับตัวลงของตลาดหุ้น และมีกำไรสุทธิ จำนวน 138.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนของปี 2564

กลยุทธ์ของบริษัทยังคงเน้นขยายฐานลูกค้าจากการใช้ Big Data การเพิ่มช่องทางบริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น การเปิดบัญชีและยืนยันตัวตนแบบออนไลน์ การขยายลูกค้าในกลุ่ม Mass ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เติบโตอย่างโดดเด่นในตลาดการเงินของไทย ตลอดจนนำความเชี่ยวชาญของ CTBC Bank ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มมาช่วยพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งจะส่งเสริมให้บริษัท มีรายได้อื่นๆ นอกจากรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น